posttoday

จับตาอุณหภูมิตลาดธัญพืช ปีนี้สุมไฟ ปีหน้าร้อนแรง

16 ธันวาคม 2553

หากย้อนไปเมื่อปี 2550-2551 จะพบว่าราคาธัญพืช โดยเฉพาะประเภทที่นำมาใช้เป็นอาหารถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ด้วยมูลเหตุสำคัญเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาทะลุหลัก 100 เหรียญสหรัฐ กับสภาวะอากาศที่เลวร้าย ทำลายพื้นที่เพาะปลูกในวงกว้าง

หากย้อนไปเมื่อปี 2550-2551 จะพบว่าราคาธัญพืช โดยเฉพาะประเภทที่นำมาใช้เป็นอาหารถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ด้วยมูลเหตุสำคัญเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาทะลุหลัก 100 เหรียญสหรัฐ กับสภาวะอากาศที่เลวร้าย ทำลายพื้นที่เพาะปลูกในวงกว้าง

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ


จับตาอุณหภูมิตลาดธัญพืช ปีนี้สุมไฟ ปีหน้าร้อนแรง

หากย้อนไปเมื่อปี 2550-2551 จะพบว่าราคาธัญพืช โดยเฉพาะประเภทที่นำมาใช้เป็นอาหารถีบตัวสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ด้วยมูลเหตุสำคัญเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาทะลุหลัก 100 เหรียญสหรัฐ กับสภาวะอากาศที่เลวร้าย ทำลายพื้นที่เพาะปลูกในวงกว้าง

ขณะนี้ราคาธัญพืชเริ่มแสดงอาการผันผวนบ้าง ทว่าที่ชวนให้ต้องจับตาเป็นพิเศษก็เพราะปรากฏปัจจัยเดียวกันที่จะทำให้ราคาธัญพืชถีบตัวสูงขึ้น นั่นคือปัจจัยราคาน้ำมันและสภาวะอากาศวิปริต จนทำลายผลผลิตในประเทศผู้ผลิตจนย่อยยับ

ล่าสุด ออสเตรเลีย ในฐานะที่เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของโลกในหลายประเภทสินค้า (อาทิ ถ่านหิน สินแร่เหล็ก และขนสัตว์) ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการส่งสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากปริมาณการผลิตลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวสาลีที่หลายพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศเลวร้าย ดังเช่นที่รัฐวิกตอเรีย พื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีมีฝนตกรุนแรงทำลายไปถึง 50% ของพื้นที่ทั้งหมด

แนวโน้มที่ราคาธัญพืชจะถีบตัวสูงขึ้น เริ่มแสดงวี่แววให้เห็นตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค. ซึ่งครั้งนั้นรัสเซียประกาศระงับการส่งออกธัญพืชทุกชนิด เนื่องจากอัคคีภัยและคลื่นความร้อนที่ลุกลามไปทั่วประเทศ ได้ทำลายพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมหาศาล ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าราคาธัญพืชสำคัญอย่างข้าวสาลีถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก

หลังจากนั้นไม่นานราคาข้าวสาลีทะลุระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ก่อนที่ราคาจะผ่อนแรงลงมา อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังกังวลไม่เลิกเนื่องจากราคาที่ดีดขึ้นมาเท่ากับเมื่อ 2 ปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่บีบคั้นในช่วงปีนั้น ซึ่งทั่วทุกหย่อมหญ้าเผชิญกับภาวะราคาธัญพืชสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะข้าวยากหมากแพงในหลายประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้น การงดส่งออกข้าวสาลีของรัสเซียยังกระตุ้นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อปี 1972 ซึ่งครั้งนั้นการเก็บเกี่ยวผลผลิตของรัสเซียล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ยังผลให้รัสเซียใช้วิธีกว้านซื้อธัญพืชจากสหรัฐและทั่วโลกโดยมิได้มีการบอกกล่าว ยังผลให้ราคาธัญพืชในตลาดชิคาโกทะลุหลักสูงสุดในรอบ 125 ปี และยังผลให้ราคาอาหารทั่วโลกเฟ้อขึ้นมาถึง 50% จนถึงปีถัดมา

แม้ในที่สุด การระงับการส่งออกข้าวสาลีของรัสเซียยังกดดันระดับราคาในตลาดในระยะสั้น แต่เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะมีปัจจัยฉุกละหุกเข้ามาปั่นป่วนได้เสมอ ยังไม่นับนักฉวยโอกาสกุมกระแสเงินเฟ้อเพื่อเก็งกำไรราคาอาหาร

จนกระทั่งทุกวันนี้ นานาประเทศก็ยังไม่ระดมสมองอย่างจริงจังเพื่อวางแนวทางให้กับความมั่นคงด้านอาหาร แม้จะมีเสียงเตือนจากองค์กรระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FAO ทั้งๆ ที่ยังมีแนวโน้มสูงที่ภาวะข้าวยากหมากแพงจะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งในเร็วๆ นี้

ล่าสุด ราคาข้าวสาลี โดยเฉพาะข้าวเกรดต่ำมีปริมาณผลผลิตที่สูงขึ้น จากการปล่อยข้าวสาลีเข้ามาในตลาดส่งออกของประเทศในยุโรปตะวันออก ยังผลให้ความผันผวนคลายความรุนแรงลง ทว่าแนวโน้มในปีหน้ายังนับว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย

หากราคาข้าวสาลี คือปัญหาของประเทศในซีกโลกตะวันตก ราคาข้าวเจ้า คือปัญหาของโลกตะวันออก

การวิตกเกี่ยวกับราคาข้าวเจ้าเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. ดังจะเห็นได้จากเสียงสะท้อนจากลิโต บานาโย หัวหน้าสำนักงานอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์ ที่เตือนว่าราคาข้าวจะดีดขึ้นในเร็ววัน เนื่องจากผลผลิตที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในประเทศส่งออกรายใหญ่ เช่น ไทยและเวียดนาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งปากีสถาน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก แต่ต้องสูญเสียพื้นที่เพาะปลูกมหาศาล และจนถึงบัดนี้ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากอุทกภัยครั้งใหญ่ได้

ขณะที่ไทยประสบกับภาวะลานินญา เวียดนามต้องต้านพายุไต้ฝุ่นลูกยักษ์หลายลูกที่เข้าถล่มพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ของประเทศ ส่วนฟิลิปปินส์ประสบกับภาวะเอลนินโญ

ความกังวลของฟิลิปปินส์เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ในฐานะที่ฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเผชิญกับภาวะขาดแคลนบ่อยครั้งจากสภาพอากาศปั่นป่วนจนทำลายผลผลิต ประเทศนี้จึงมีความเปราะบางต่อความผันผวนของราคาเป็นพิเศษ

ปีที่ผ่านมา ราคาธัญพืชมีปัจจัยชี้นำ 2 ประการ คือ พื้นที่เพาะปลูกในรัสเซียถูกทำลายและสภาวะอากาศวิปริตในประเทศปลูกข้าวเจ้ารายหลักของโลก โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และปากีสถาน ในบรรดา 3 ประเทศนี้ เวียดนามได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จึงมีกำลังการผลิตตลอดทั้งปีปรับขึ้นมา 9.8% ที่ 6.04 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณการผลิตข้าวของไทยลดลงถึง 20%

จะเห็นได้ว่าทั้งผลพวงต่อราคาธัญพืชทั้งหมดเกิดขึ้นจากสภาวะอากาศที่เลวร้าย หากบางประเทศ เช่น ไทย มิได้เก็บสต๊อกข้าวในปริมาณมหาศาล ราคาข้าวเจ้าจะยิ่งแพงขึ้นจนก่อตัวเป็นวิกฤต ตอกย้ำปัญหาช่วงเวลาที่หลายประเทศในเอเชียกำลังต่อสู้กับเงินเฟ้อ

แนวโน้มด้านลบอาจจะยังไม่แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตในเร็วๆ นี้ แต่หลายฝ่ายเริ่มเห็นถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงขึ้นจากราคาธัญพืชผันผวนฉับพลัน

ดังเช่นท่าทีของกระทรวงสวัสดิการสังคมของอินโดนีเซีย ที่เรียกร้องให้ประชาชนหันมาบริโภคธัญพืชประเภทอื่นๆ แทนที่จะพึ่งพาข้าวเจ้าเพียงอย่างเดียวเพื่อป้องกันวิกฤตการณ์ หากเกิดภาวะช็อกจนปริมาณการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะอินโดนีเซียไม่เพียงมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกเท่านั้น แต่ชาวอินโดนีเซียยังบริโภคข้าวมากถึง 100 กิโลกรัม/คน/ปี สูงกว่าชาวญี่ปุ่นหรือกระทั่งชาวจีน

ด้วยระดับความต้องการมหาศาลจากอินโดนีเซีย ยังผลให้เวียดนามตัดสินใจเพิ่มราคาขั้นต่ำสำหรับข้าวส่งออกถึงเกือบ 14% ส่วนราคาข้าวหักเพิ่มขึ้นมาถึง 25% อีกทั้งยังนำเข้าข้าวเพิ่มเติมเพื่อเสริมปริมาณในสต๊อก

ด้วยปริมาณข้าวในสต๊อกต่ำ ยังผลให้ปัญหาเงินเฟ้อในเวียดนามเลวร้ายลง จากตัวเลขล่าสุดที่ 11.09% ช่วงเดือน พ.ย. หรือสูงที่สุดในรอบ 20 เดือน ขณะที่ราคาข้าวขายปลีกในพื้นที่ 3 เหลี่ยมปากแม่น้ำโขง อันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม ระดับราคายังทะยานขึ้นมาถึง 10.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ในปีหน้าแม้จะยังคาดเดาสภาพอากาศไม่ได้แน่นอน แต่จะมีปัจจัยที่ผลักดันให้ธัญพืชทำราคาต่อเนื่องจนสูงกว่าปีนี้หลายเท่าตัว ปัจจัยที่ต้องจับตานั้นมีความเกี่ยวพันกับสถานการณ์ที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังวิตกกังวล นั่นคือความต้องการที่สูงขึ้นในตลาดใหญ่ๆ ของโลก

ความต้องการจากจีนจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดโภคภัณฑ์ในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลืองจนถึงปาล์มน้ำมัน เนื่องจากความต้องการนำไปใช้เพื่ออุปโภคบริโภคและความต้องการเพื่อเก็งกำไร ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งยังปรากฏความเสี่ยงในหลายพื้นที่ของโลก ยังผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ ไม่เว้นแม้แต่ธัญพืช เพื่อกระจายความเสี่ยง

หากไม่นับน้ำมันแล้ว ตลาดธัญพืชจะเกิดปรากฏการณ์ราคาพุ่งพรวดในปีหน้าอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่ว่านักวิเคราะห์จากบางสำนักหวั่นเกรงถึงความปั่นป่วนของราคา ที่อาจตามมาจากปริมาณความต้องการจากจีนที่ล้นหลามจนอุปทานในตลาดโลกไม่อาจรองรับได้

ตัวอย่างที่เป็นเพียง “ออร์เดิฟร์” สำหรับสถานการณ์ในปีหน้า คือ ราคาเมล็ดถั่วเหลืองซื้อขายล่วงหน้าทะลุระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ที่ 12.90 เหรียญสหรัฐต่อบูเชิลไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย. เนื่องจากความต้องการจากจีนสูงกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้

หากยังอยู่ในกระแสนี้ ราคาถั่วเหลืองอาจแตะ 16 เหรียญสหรัฐในปีหน้า เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆ

ราคาธัญพืชที่สูงขึ้นอาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตและนักลงทุน แต่ในช่วงที่เงินเฟ้อกำลังไล่กวดเอเชีย แนวโน้มนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

 

ข่าวล่าสุด

นายกฯอนุทินหาทางช่วยคนไทยตกค้างกัมพูชากลับประเทศปลอดภัย