posttoday

"บิ๊กตู่"กลุ้มใจพูดมากไปถูกไล่ให้ลาออก

07 ตุลาคม 2563

นายกฯ เปิดงาน “อาชีวะยกกำลัง2” พัฒนาทักษะสู่ความเป็นเลิศ สอดรับตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศวอนขอให้ช่วยกันรักษาบ้านเมืองให้เรียบร้อย

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุมปทุมมาศ อาคารเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ถนนรังสิต-ปทุมธานี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน ปลัดจังหวัดปทุมธานี คณะผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษ ความตอนหนึ่งว่า สิ่งสำคัญเราต้องเข้าใจและเดินไปด้วยกันทั้งครู นักเรียน ที่จะต้องพัฒนาองค์กรให้ก้าวไกล เด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสำคัญของประเทศ รัฐบาลจึงมีการกำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติและต้องเดินหน้า ซึ่งมีลำดับระยะเวลาจนครบ 20 ปี ซึ่งการกำหนดยุทธศาสตร์ไม่ได้หมายถึง เรื่องการสืบทอดอำนาจใดๆทั้งสิ้น ขอให้ทุกคนเข้าใจ การศึกษาถือเป็นสิ่งสำคัญการสร้างชาติให้มั่นคง มั้งคั่งและยังยืนในอนาคต เราต้องผลิตบุคลากรให้ทันและมีงานทำตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน

“ปัจจุบันโลกมีความทันสมัย สมัยผมเรียนไม่มีความทันสมัยเท่าปัจจุบัน มีสิ่งอำนวยความสะดวก แต่โชคดีว่ามีแม่และมีภรรยาเป็นครู แต่สิ่งที่ถูกสั่งสอนมาโดยตลอดคือการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เห็นว่าหลายอย่างยังมีความล่าช้า วันนี้เราทำงานทุกอย่างเพื่ออนาคตจะต้องปรับเปลี่ยนจากสมัยก่อน ที่สำคัญครูและเด็กในปัจจุบันก็ต่างยุค ต่างสมัย เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ การเรียนในห้องถือเป็นพื้นฐาน แต่สิ่งที่สำคัญคือการเรียนนอกห้อง การดูงาน การศึกษา ไม่เช่นนั้นแรงบันดาลใจจะไม่เกิด เนื่องจากวันนี้โลกเปลี่ยนทั้งเทคโนโลยีดิจิทัล ทุกคนจึงต้องปรับวิธีคิดใหม สมองจะต้องทันสมัยตลอดเวลา ต้องรู้จักปรับตัว ปรับความคิดและหลักคิด วิสัยทัศน์ โดยปรับให้ไปสู่ทิศทางที่สร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี” นายกฯกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การศึกษาถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงต้องผลิตบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการ ซึ่งปัจจุบันเราต้องการคนที่ดี มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ความชำนาญในสาขาที่เรียน มีความตั้งใจ เป็นคนดี มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันนี้โลกหมุนเร็ว

ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นอุปสรรคขวากหนามเราต้องคิดให้เป็นและผ่านไปให้ได้ รัฐบาลมีหน้าที่ในการสร้างโอกาสที่จะมีงานทำ โอกาสที่บ้านเมืองจะเป็นสุข โอกาสที่ประเทศของเราจะมีความมั่นคง มั่นคั่ง และยังยืน และต้องหลุดพ้นการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ซึ่งถ้าทำได้ประเทศเราจะเข้มแข็ง ไม่ใช่ประเทศที่ มีปัญหามาตลอด หรือเป็นประเทศที่ตีกัน หรือประเทศที่มีการทุจริต เราต้องช่วยกันทั้งหมด จึงขอฝากครูให้กระตุ้นเด็กคนให้คิดและวางแผนเป็น อยากทำงาน อดทน ตั้งใจ ไม่มีอะไรเริ่มต้นด้วยวันเดียว หรือปีเดียวแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจ ที่ต้องเกิดจากทั้งคนที่เรียน คนสอนและคนบริหาร ถ้าไม่เกิดตรงนี้ก่อน ต่อให้ทำดี อย่างไรก็ไม่เกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการพัฒนา

“ ผมขอเพิ่มจากทุกคน จากยกกำลัง 2 ขอให้เพิ่มเป็นยกกำลัง 4-5 ทั้งในเรื่องการกระตือรือร้น ความเอาใจใส่การปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีสอน ไม่ใช่สอนแล้วหลับทั้งห้อง สมัยเด็กแม่ไม่เคยต้องปลุกไปเรียน หรือสอบไม่ต้องมีใครมาเตือน อ่านหนังสือไม่ต้องมีคนมาเรียก การขนขวายหาความรู้เกิดขึ้นได้ทุกวันไม่ต้องมีคนมาบังคับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือกระบวนความคิด ไม่มีอะไรที่จะทำได้วันนี้ พรุ่งนี้เสร็จ หรือพูดเพียงปากเปล่าแล้วงานเสร็จ ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับระเบียบ กติกา กฎหมาย บ้านเรากว่าจะทำได้ก็ผ่านเวลามาหลายปี

ดังนั้นสิ่งที่พูดว่าจะให้ปรับเปลี่ยนในวันนี้พรุ่งนี้มันทำไม่ได้ ผมถามว่าคนทั้งประเทศเขาจะว่าอย่างไรที่บ้านเมืองวุ่นวาย มันทำไม่ได้แล้วโอกาสที่มีอยู่ก็จะหายไป วันนี้ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นที่หนึ่งของอาเซียน แต่โอกาสเหล่านี้จะหายไปด้วยความไม่สงบเรียบร้อย ไม่มีเสถียรภาพ เรามีทั้งทรัพยากรธรรมชาติและบุคลากรมนุษย์ ต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรถึงจะเกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด แก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริตถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศ

เราต้องรวมพลังในการเดินหน้าจึงขอเป็นยกกำลัง 10 ร่วมกับผมไปข้างหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่ทัน วันนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด -19ไทยเป็นอันดับ 1 ในทางพฤตินัยแล้วพวกเราจะทำลายไปทำไม สิ่งที่ทุกคนชื่นชมเรา ผมขอถามว่าจะทำลายทำไมขอถามตรงนี้ แล้วถ้ามันเกิดและกลับขึ้นมาอีก ในรอบสองด้วยความไม่ระมัดระวัง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่กำลังจะตามมาทุกอย่างก็จะละลายหายไปหมด ทั้งการท่องเที่ยว การค้าขายการเดินทาง การพบปะ ทุกอย่างจะหายไปหมด เราต้องการแบบนี้หรือผมจึงจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องความรักความสามัคคี”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของพวกเราในการเดินไปวันข้างหน้า รัฐบาลมีหน้าที่ในการสร้างโอกาส โดยดูตัวอย่างจากหลายๆประเทศด้วย ทั้งตะวันตกและตะวันออก เพราะโลกมันแคบฉะนั้นจะทำอะไรต้องคำนึงถึงเพราะเราทำอะไรรู้ถึงเขา และเขาทำอะไรก็รู้ถึงเรา ฉะนั้นขอให้ทำแต่สิ่งที่ดี เขารักประเทศไทย รักรอยยิ้ม อาหาร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของไทย ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยก่อนโควิด 40 กว่าล้านคนทำไม นั้นคือสิ่งที่ดีของเรา อย่าไปทำลาย ต้องพัฒนาตัวเรา ทำสิ่งดีๆให้กับประเทศชาติ สิ่งที่เสนอมารัฐบาลรับไปดำเนินการในระดับของคณะรัฐมนตรี(ครม.) และคณะทำงานต่างๆ

ขณะเดียวกันในส่วนของครูก็ต้องมีการวัดผลการทำงาน ตนไม่ได้ว่าเพราะตนเคารพครูอยู่แล้ว กลับบ้านก็ทักทาย ผมให้เกียรติครู คงไม่ต้องถึงขั้นเคารพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เขา เป็นครูอยู่บ้านก็เป็นแม่บ้านอยู่ด้วยกันมาหลาย 10 ปีแล้ว “ครูของผมก็คือประชาชน ซึ่งประชาชนทุกคนคือครูที่สอนวันนี้ ผมเป็นนายกฯเอาความเดือดร้อนทั้งหลายมาคิดมาทำร่วมกับครม.อย่ารังเกียจกัน เพราะทุกคนคือคนไทยเป็นประชาธิปไตยด้วยกันทุกคน”จะว่ากันอย่างไรก็ไปแก้กันตรงโน้น

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ต้องรู้อะไรคือโอกาสอะไรคือวิกฤติ อย่าทำโอกาสให้เป็นวิกฤติ วันนี้เรากำลังจะเปิดประเทศ ในขณะที่ประเทศอื่นกำลังรบอยู่กับโควิด-19 เราสามารถลดการแพร่ระบาด การติดเชื้อ มีความพร้อมทุกอย่าง หากเราไม่ระมัดระวังการแพร่ระบาดรอบ 2 จะกลับมาหนักกว่าเดิม ขณะนี้เราได้ผ่อนคลายไปเยอะ เริ่มดีตามลำดับ ประเทศไทยมีอาชีพที่หลากหลาย เขาบอกมาไทยไม่มีอดข้าว เวลาไปต่างประเทศตนถามเขา ซึ่งเขาบอกว่าเขารักประเทศไทย วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ อยากมาเที่ยวประเทศไทย เพราะเห็นคนไทยมีความสุขเขาอยากเป็นคนไทย ชอบชีวิตความเป็นอยู่ แต่กลับไปทำงานที่โน้น เพราะเงินเดือนสูง

ฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้มีเงินเดือนมากขึ้น ในวันข้างหน้าก็ต้องพัฒนากรอบใหญ่ของประเทศ เราต้องมองทั้งมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ที่ไม่มีเงินเดือน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ที่ไม่มีต้นทุนเลย เราไม่สามารถจะให้เขาทั้งหมดได้ หากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีในวันข้างหน้าทุกอย่างจะกลับมา ฝากลูกๆหลานๆ เน้นว่าอะไรคืออนาคตและโอกาสที่ทุกคนจะมีความก้าวหน้าในการประกอบอาชีพมีรายได้เลี้ยงดูพ่อแม่ สร้างครอบครัวในอนาคต

“หน้าตาผมเหมือนคนนอนไม่หลับ ผมก็เป็นแบบนี้ทุกวัน ใครมาเป็นผมก็จะรู้ พูดมากไปก็บอกว่าลาออกไปสิ ผมกลุ้มใจจริงๆ สิ่งใดที่ทำไม่ดีก็บอกมา ผมรับฟังทุกท่าน แต่ขอให้มีหลักการขอให้ช่วยกันรักษาบ้านเมืองให้เรียบร้อย อดีตคืออดีต ประวัติศาสตร์ดีเอามาทำต่อและชื่นชม ประวัติศาสตร์ ไม่ดีทิ้งไปอย่าทำอีก เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้มีความสุข ขอให้ว่ากล่าวตักเตือนกันบ้าง สังคมเราเป็นแบบนี้ สังคมระบบเครือญาติ นั่นคือครอบครัวของเราต้องรักษาไว้ ถ้าเราไม่รักกันในครอบครัว สังคมก็ไม่รัก แล้วจะเป็นอย่างไร จะอยู่กันต่อไปอย่างไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอให้ทุกคนช่วยกันทำงานตรงนี้ ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็วจงได้ เป็นอาชีวะที่มีสมรรถภาพ คุณภาพ ความพร้อม ให้ได้ทั้งคนดีคนเก่ง ฐานรากเศรษฐกิจจะดีอยู่ที่คนดี คนเก่ง รักชาติบ้านเมือง เข้ามาพัฒนาประเทศไปด้วยกัน”นายกฯกล่าว

"บิ๊กตู่"กลุ้มใจพูดมากไปถูกไล่ให้ลาออก

นายกฯ กล่าวตอนท้ายว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่ได้มาพบพวกท่านให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตนเห็นเด็กๆที่มาต้อนรับรู้สึกตื้นตัน เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้รู้สึกว่าต้องทำให้มากขึ้นอีกหรือเปล่า ตนคิดอย่างนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นประชาชน เด็ก ราชการ ครู นี่คือความกังวลของตน ซึ่งตนจะไม่กังวลเรื่องอื่นๆที่ทำให้ไม่มีกำลังใจ ตนจะเฉยๆให้เป็นเรื่องว่ากันไป เราจะต้องรักกัน รักษาแผ่นดินไทยนี้ให้สงบ มีเสถียรภาพให้ได้ เรื่องอะไรที่ไม่สำคัญบางทีคนไทยชอบคุยกันแล้วเกิดความคิดหลากหลายซึ่งต้องคิดว่ามันควรจะสรุปให้ได้ คุยกันแล้วมาตีกันไม่ได้ ต้องคุยให้ได้ความก้าวหน้า นี่คือสิ่งสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเทศ จากนั้น นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานอาชีวยกกำลังสอง พร้อมถ่ายถาพร่วมกับคณะผู้บริหารและเด็กนักเรียนอาชีวะ

"บิ๊กตู่"กลุ้มใจพูดมากไปถูกไล่ให้ลาออก

ภายหลังพิธีฯ นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการอาชีวะยกกำลังสอง ณ บริเวณภายในห้องประชุมปทุมมาศ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ อาทิ เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Technology) หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Robotics) นวัตกรรม เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) และรถยนต์ไฟฟ้า ELECTRIC VEHICLE (EV)

กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศพร้อมขับเคลื่อนอาชีวศึกษายกกำลังสอง “สู่มิติใหม่อาชีวศึกษาไทย” มุ่งผลิตและพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) ด้วยศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC) เพื่อยกระดับศักยภาพกำลังคนอาชีวศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานของประเทศ พร้อมโชว์ศักยภาพกระแสตอบรับ จากผู้ประกอบการชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก โดยเข้ามาช่วยพัฒนาหลักสูตร แบบ 1 เอกชนต่อ 1 วิทยาลัย ใน 7 สายงานหลัก รวม 32 แห่ง ตั้งเป้าจัดตั้งศูนย์ HCEC อาชีวศึกษา 50 แห่ง สิ้นปี 2563 และครบ 100 แห่ง ในปี 2564 ประกาศความพร้อมในการสร้างกลไกขับเคลื่อนอาชีวศึกษายกกำลังสอง ด้วยศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (Human Capital Excellence Center: HCEC) ของอาชีวศึกษา เพื่อผลิตและพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) สู่ความเป็นเลิศและยั่งยืน สอดคล้องกับแผนงานการปฏิรูปการศึกษายกกําลังสอง โดยมุ่งเน้นให้กระบวนการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันอาชีวศึกษา ซึ่งจำเป็นต้อง “ปลดล็อก” จากการเรียนการสอนในรูปแบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์การทำงาน ที่ก่อให้เกิด Skill Gap หรือปัญหาช่องว่างทางทักษะที่ไม่เพียงพอต่อการทำงานจริง โดยต้อง “ปรับเปลี่ยน” เชื่อมโยงความรู้และทักษะที่จำเป็น และสอดคล้องเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดแรงงานในประเทศ และ “เปิดกว้าง” ด้วยการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในการเตรียมความพร้อมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนกำลังคนในทุกมิติสู่ความเป็นเลิศในแต่ละด้าน เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน ที่ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมต้องการ ตลอดจนเป็นการเพิ่มพูนทักษะกับมืออาชีพในสถานที่จริง เพื่อให้ได้ศักยภาพแรงงานที่ตรงกับความต้องการ และมีความเป็นเลิศอย่างแท้จริง

"บิ๊กตู่"กลุ้มใจพูดมากไปถูกไล่ให้ลาออก

โดยที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาได้มอบหมายนโยบาย ในการสนับสนุนให้สถาบันอาชีวศึกษาผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ตามความเป็นเลิศของสถานศึกษา และตามบริบทของพื้นที่ โดยต้องสอดคล้องกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานภาคเอกชน สถานประกอบการ เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและตั้งศูนย์ HCEC อาชีวศึกษา ให้เป็นอาชีวศึกษาเฉพาะทางตามบริบทของพื้นที่นั้นๆ เพื่อบริหารจัดการการเรียนรู้ตามแนวทาง Constructionism, Project Based Learning Authentic Assessment ผ่านองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนการเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์จากการเรียนในสถานที่จริง หรือสถานการณ์จริง เพื่อยกระดับความสามารถของผู้เรียน และผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันอาชีวศึกษา ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้ง Hard Skills ทักษะความเชี่ยวชาญที่ทำงานได้ทันที และมี Soft Skills ทักษะด้านความคิดและอารมณ์ ที่สอดคล้องกับโลกของการทำงาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต

ทั้งนี้ สถาบันอาชีวศึกษาได้รับการสนับสนุนจากสถานประกอบการชั้นนำทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก ตลอดจนภาคเอกชนจากสาขาอาชีพต่างๆ ในการผลิตและพัฒนากำลังคน ในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาดแรงงาน ด้วยการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาพัฒนาเป็นหลักสูตรอาชีวศึกษาเฉพาะทาง แบบ 1 เอกชน ต่อ 1 วิทยาลัย ใน 7 สายงานหลัก ได้แก่ ปิโตรเคมี (Petrochemical), เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Technology), หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม (Robotics), เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming), อุตสาหกรรมการบิน (Aviation Industry), อุตสาหกรรมระบบราง (Railway Industry) และยานยนต์สมัยใหม่ (Next Generation Automotive), และ ธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality Industry) ซึ่งในขณะนี้ ได้รับความร่วมมือในการช่วยกันพัฒนาและยกระดับการจัดการอาชีวศึกษาจากสถานประกอบการชั้นนำ แล้วกว่า 32 แห่ง และตั้งเป้าหมายจะได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศอาชีวศึกษา ให้ครบ 50 แห่งในสิ้นปี 2563 และในปี 2564 ครบ 100 แห่งทั่วประเทศ

"บิ๊กตู่"กลุ้มใจพูดมากไปถูกไล่ให้ลาออก

“ศูนย์ HCEC อาชีวศึกษา มีเป้าหมายหลักเพื่อพัฒนานักเรียนอาชีวะ บุคลากรทางการศึกษา และครู ให้เข้ามาใช้ในการ Up-skills และ Re-skills โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับวิทยาลัยอาชีวศึกษา เพื่อทำให้วิทยาลัยมุ่งสู่ความเป็นเลิศ จะสามารถสร้างฐานทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่มีศักยภาพ สามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และมีทักษะชีวิตที่พร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 นี้ได้อย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก็จะได้กำลังคนที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการ เมื่อภาคอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง ประเทศไทย จะมีศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น”

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ