posttoday

ศาลอุทธรณ์ลดโทษอดีตผู้เข้าประกวดนางงามฆ่าทารุณสาวใช้

06 ตุลาคม 2563

ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ลดโทษ “โมนา” อดีตผู้เข้าประกวดนางงาม ฆ่าทารุณสาวใช้ จากจำคุกตลอดชีวิต เหลือ 20 ปี

เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 63 ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีทารุณสาวใช้ตายฝังดิน หมายเลขดำ อ.3966/2560 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.กฤษณา สุวรรณพิทักษ์ หรือโมนา ชาว จ.เพชรบุรี อดีตผู้เข้าประกวดสาวงาม , น.ส.ปรารถนา ท้วมทรัพย์ เพื่อนรุ่นน้องคนสนิท และนายปราโมทย์ สุวรรณพิทักษ์ อายุ 47 ปี พี่ชาย เป็นจำเลยที่ 1-3

โดยยื่นฟ้อง น.ส.กฤษณาหรือโมนา จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ น.ส.ปราถนา และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 2-3 ฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ประกอบมาตรา 83

ขณะที่ นางจันทิรา ศรีศักดิ์ มารดาของน.ส.จริยา ศรีศักดิ์ หรือน้องน้ำ ผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 1,465,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีด้วย

สำหรับพฤติการณ์ตามฟ้องสรุปว่า เมื่อช่วงเดือน ก.พ.- มี.ค.55 น.ส.จริยา ศรีศักดิ์ หรือน้องน้ำ อายุ 15 ปี ทำงานเป็นสาวรับใช้ ให้กับ น.ส.กฤษณา จำเลยที่ 1 ในหมู่บ้านกลางกรุงรัชวิภา แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม. ต่อมาช่วงต้นเดือน เม.ย. - วันที่ 12 เม.ย.55 จำเลยที่ 1 ซึ่งมีเจตนาฆ่าได้ใช้ของแข็งไม่มีคม เป็นกระป๋องสเปรย์ ยาวประมาณ 1 ฟุต ทุบตีที่ศีรษะ น.ส.จริยา หลายครั้งซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญได้รับแรงกระแทก และยังใช้ท่อต่อพลาสติก เครื่องดูดฝุ่นทุบตีบริเวณต้นขา และใช้ที่หนีบผมขณะที่ยังมีความร้อนจี้ตามลำตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย.55 จำเลยที่ 2-3 ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพ ซึ่งได้มีการขุดหลุมฝังศพผู้ตายที่ข้างบ้านพักใน จ.เพชรบุรี

จำเลยที่ 1-3 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนการสืบพยานในชั้นศาลปรากฏว่า จำเลยที่ 3 ได้ขอให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง

โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.พ.62 ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม มาตรา 288 ให้จำคุกตลอดชีวิต พร้อมกับให้ชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะที่บุตรสาวต้องเสียชีวิต รวมทั้งค่าปลงศพด้วย จำนวน 1,065,776 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.55 ซึ่งเป็นวันที่มารดาผู้ตายยื่นคำร้อง

ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญาหรือรับโทษน้อยลง ตามมาตรา 184 ให้จำคุกคนละ 2 ปี แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 1 ปี 4 เดือน สำหรับจำเลยที่ 3 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษทั้งสองคน

ต่อมาอัยการโจทก์ และจำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่งวันนี้ ศาลได้เบิกตัว น.ส.กฤษณา หรือโมนา จำเลยที่ 1 จากทัณฑสถานหญิงกลาง มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วน น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 ที่ได้ประกันชั้นอุทธรณ์ ก็เดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษา

ทั้งนี้สำหรับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น เห็นว่า โจทก์ มีพยานเบิกความว่า น.ส.กฤษณา หรือโมนา จำเลยที่ 1 มีอารมณ์ร้าย เคยมีชาวพม่ามาทำงานรับใช้แล้วถูกทำร้าย 2 คน ก่อนออกไป โดยเห็นจำเลยที่ 1 ใช้กระป๋องสเปรย์ตีผู้ตาย และภายหลังได้เรียกให้พยานดูผู้ตายเสียชีวิตในครัวเห็นร่างกายมีรอยไหม้ และเห็นจำเลยทั้งสามนำศพผู้ตายไปฝัง

นอกจากนี้ยังมีพยานอีกราย เห็นจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย และเมื่อมีการนำศพไปขอให้วัดเผาศพ วัดไม่เผาให้เนื่องจากไม่มีใบมรณบัตร

โดยศาลอุทธรณ์ เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความเชื่อมโยงกันเป็นขั้นตอนเกี่ยวกับการทำร้ายผู้ตาย การขอเผาศพ และฝังศพสอดคล้องกัน ไม่มีเหตุโกรธเคืองปรักปรำจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างไม่ได้ทำร้ายผู้ตาย แต่ผู้ตายหนีหายไปนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การนี้ในชั้นสอบสวน โดยให้การว่าผู้ตายเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ และจำเลยที่ 1-2 ให้การซัดทอดกันไปมาว่าอีกฝ่ายทำร้าย จึงเป็นการอ้างเลื่อนลอย ไม่หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสามนำศพไปฝัง จากการตรวจกระดูกผู้ตาย พบกระดูกกรามหลุด แตกหักก่อนตาย จากการถูกตีศีรษะรุนแรง และไม่นำส่งโรงพยาบาล จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นถึงแก่ความตาย มีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา จำเลยที่ 2 ผู้ฝังศพ ย่อมมีความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้ต้องรับโทษอาญา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย แต่เห็นว่าโทษที่พิพากษานั้นหนักเกินไป เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสม จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก น.ส.กฤษณา หรือโมนา จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี

สำหรับประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ขอลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโทษจำเลยที่ 2-3 เหมาะสมแล้ว ถึงแม้จำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนและจำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ก็ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นลงโทษมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย

คงโทษจำคุก น.ส.ปรารถนา จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น 1 ปี 4 เดือน และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 3 โทษจำคุก 1 ปี

มารดาน้องน้ำ ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ส่วนตัวพอใจที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตมากกว่า เพราะถึงตอนนี้จำเลยที่ 1ก็ยังไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดกับการกระทำของตัวเอง แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในห้องพิจารณา จำเลยที่ 1 ก็ยังดูนิ่งเฉย และไม่ได้เดินเข้ามาพูดคุยหรือขอโทษแม่แต่อย่างใด อีกทั้งยังอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาอีกด้วย

"วันนี้ศาลอุทธรณ์ก็ลดโทษเหลือจำคุก 20 ปี เห็นว่าโทษเบาเกินไปกับความผิด เพราะการที่เขาทำร้ายจนลูกสาวเสียชีวิตแล้วยังเอาศพไปฝังนั้น โดยไม่บอกให้รู้ แม่ต้องติดตามหาลูกสาวและมีความทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน จึงอยากขอให้อัยการยื่นฎีกา เพื่อให้ศาลได้พิพากษาตัดสินอีกครั้ง"มารดาน้องน้ำกล่าว

ข่าวล่าสุด

"เสรีพิศุทธ์” พร้อมท้าชิงนายกฯ หากเสรีรวมไทยได้เกิน 25 เก้าอี้