posttoday

จตุพรยื่นศาลอาญา ขอเลื่อนนัดพร้อมคดี "ล้อมบ้านป๋าเปรม"

21 กันยายน 2563

จตุพร ยื่นคำร้องศาลอาญาเลื่อนนัดพร้อม คดีล้อมบ้านป๋าเปรม อ้างเหตุอัยการตามผู้ต้องหาอื่นฟ้องไม่ครบ ศาลนัดฟังคำสั่งอีกครั้งเช้า 9 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 63 ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดพร้อม คดีชุมนุมปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี (สำนวนที่ 2 ) คดีหมายเลขดำ อ.2799/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงาจคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายศราวุธ หลงเส็ง ผู้ชุมนุม นปช. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 215, 216

กรณีเมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 แกนนำและแนวร่วม นปช. นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคน จากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่สนามหลวง ไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง

สำหรับสำนวนคดีนี้ อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 29 ส.ค.57 ภายหลังจากนายจตุพร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พ้นสมัยประชุมสภา โดยก่อนหน้านี้คดีสำนวนแรก หมายเลขดำ อ.3531/2552 พนักงานอัยการฯ ได้ยื่นฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช. และแกนนำอื่นๆ รวม 7 ราย ซึ่งสำนวนแรกศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ผลยืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุกนายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 , นายวีระกานต์ อดีตประธาน นปช. , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. คนละ 2 ปี 8 เดือนโดยไม่รอลงอาญา

โดยวันนี้ นายจตุพร และนายศราวุธ จำเลยที่ 1-2 เดินทางมาศาล พร้อมทนายความ

เมื่อถึงเวลานัด นายจตุพร จำเลยที่ 1 ได้แถลงต่อศาลว่า คดีนี้ในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการได้ตั้งสำนวนมีผู้ร่วมกระทำความผิดในส่วนของจำเลยพร้อมกับผู้ต้องหาอีกจำนวนหลายคน แต่เนื่องจากอัยการมีคำสั่งให้ฟ้องผู้ต้องหาแต่ละคนแยกสำนวนคนละคดีในลักษณะเลือกตัวบุคคลซึ่งเป็นการมิชอบ จำเลยที่ 1 เห็นว่า การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันในคดีเดียวกัน จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาถึงประเด็นดังกล่าว โดยยังไม่ให้มีการกำหนดวันนัดพร้อมเพื่อตรวจหลักฐาน

ศาลสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน ศาลจึงให้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องแถลงถึงเหตุที่อ้างดังกล่าวโดยละเอียด เพื่อศาลจะได้พิจารณาสั่งต่อไป โดยให้ยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้ โดยศาลกำหนดนัดพร้อมเพื่อฟังคำสั่งดังกล่าว วันที่ 9 พ.ย.นี้ เวลา 09.30 น.

ภายหลัง นายจตุพร ประธาน นปช.เปิดเผยว่า คดีบุกบ้านพัก พล.อ.เปรม สำนวนคดีที่ 2 ต่อจากสำนวนคดีแรกที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายวีระกานต์กับพวกรวม 7 คน ที่ศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุด ต่อมาอัยการฟ้องอีก 2 คน การแยกสำนวนไม่ควรเกิด จำเลยไม่ได้ขอให้แยกสำนวนมาตั้งแต่แรก และเมื่อแยกมา 2 สำนวนก็ฟ้องไม่ครบ ยังมีผู้ต้องหารายอื่นที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง เช่น นายจรัล ดิษฐาอภิชัย, นายจักรภพ เพ็ญแข (อดีตแกนนำ นปช. ซึ่งหลบหนีอยู่ต่างประเทศ) และคนอื่นที่ยังอยู่ในประเทศ เพื่อให้พิจารณาคราวเดียว ไม่ต้องฟ้องเป็นสำนวนที่ 3 อีก เรื่องไม่รกศาล ตนจึงร้องศาลให้อัยการนำตัวที่เหลืออยู่มาฟ้องอย่างครบถ้วน ทางอัยการก็ต้องแสดงความพยายามในการติดตามจับกุมผู้ต้องหา เมื่อจะดำเนินคดี ต้องวางบรรทัดฐานยุติธรรมตรงไปตรงมา

ทั้งนี้ นายจตุพร ประธาน นปช. ยังให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านไปด้วยว่า เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น หนทางอีกยาวไกล สำหรับคนที่ผ่านทางอย่างตนมองหลากหลายปรากฏการณ์ หลังจากนี้มีอีกหลายเรื่องราว ให้คิดว่าคือการเดินทาง หนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม จะยากขึ้นตามลำดับ มองเพียงแค่ปรากฏการณ์เดียวไม่ได้ ในสมรภูมิการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น

“ผมพยายามนำเสนอความคิดว่ารัฐเองต้องไม่ใช้หลักนิติศาสตร์นำรัฐศาสตร์ เพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การที่ฝ่ายรัฐได้ใช้กลไกตำรวจขออนุมัติหมายเรียก หมายจับ แล้วก็ทยอยจับทีละคนสองคน ในกระแส 1 เดือนก่อนการชุมนุม ถ้าถามว่าใครสร้างกระแสให้เกิดการชุมนุมเป็นจำนวนมาก ก็เพราะกลไกรัฐนั่นเอง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ มันควรเอาหลักรัฐศาสตร์นำหลักข้อกฎหมาย” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนสังคมจะต้องตระหนัก พูดคุยแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่พัฒนาสู่การแตกแยกใหม่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายต้องทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันได้ ตนก็ได้แสดงจุดยืนเห็นด้วย 3 ข้อเรียกร้อง ที่เหลือยังเห็นต่าง ไม่ว่าจะเห็นด้วยเห็นต่างทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองให้มีชีวิตอย่างปลอดภัย เราต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ยืนยันว่ารัฐควรใช้หลักเมตตาธรรมมากกว่าใช้ข้อกฎหมายดำเนินการ กฎหมายอย่างเดียวแก้ไขปัญหาไม่ได้ และพิสูจน์มาแล้วในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นต่อกรณีแกนนำผู้ชุมนุมการปักหมุดคณะราษฎร 2563 ที่สนามหลวง ซึ่งถูกถอนในเวลาต่อมา นายจตุพร กล่าวว่า คนที่เอาหมุดไปติดย่อมรู้ว่าอย่างไรก็ต้องถูกดึงออก เพียงแค่นั่งลุ้นว่าจะครบหนึ่งวันหรือไม่ ถ้าใครคิดว่าหมุดจะอยู่ตลอดคงไม่มีใครกล้าคิดอย่างนั้น มันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมศิลปากรก็แสดงตนแล้วว่าเขาเป็นคนเอาออก ไม่ต้องไปควานหา

นายจตุพร กล่าวถึงการป้องกันความรุนแรงว่า ทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกัน นักศึกษาประชาชนต้องยึดแนวทางสันติวิธี รัฐต้องดูแลรักษาความปลอดภัยป้องกันโรคแทรก ต้องอำนวยความสะดวกทุกอย่างไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง รักษาบรรยากาศ การชุมนุมเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ถ้าคิดจัดการกับอีกฝ่ายก็กระทบกระทั่งเรื่องลุกลาม จบอีกแบบหนึ่ง หลักคิดการชุมนุมทุกคนต้องได้รับการคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สิน ในการใช้สิทธิเสรีภาพ ไม่ควรมีคนมาตายเพราะเรียกร้องประชาธิปไตยอีก แต่ละฝ่ายต้องไปทบทวน ต้องยอมรับเมื่อตัดสินใจมาสู้แล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย เป็นสัจธรรม หลังจากการชุมนุมอยู่ศาล อยู่เรือนจำ แต่คนตัดสินใจสู้ไม่มีความกลัวใดๆ อยู่แล้ว การตัดสินใจใดๆ ก็ตาม ต้องยึดหลักมีเหตุผล ได้ประโยชน์ รู้ประมาณ ถ้ายึดกันได้ การชุมนุมโดยสันติวิธีก็บังเกิดได้ เนื้อหาก็พิจารณาว่าอะไรควรไม่ควร

เมื่อถามถึงข้อเสนอเกี่ยวกับการยุบสภา นายจตุพร กล่าวว่า การยุบสภาเป็นทางออก บ้านเมืองมีปัญหาก็เอาอำนาจกลับไปให้ประชาชน เพียงนายกรัฐมนตรีแสดงเจตนาว่า ส.ว. ต้องทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน ส.ส.เลือกใครเป็นนายกฯ ส.ว.ต้องโหวตตาม เราก็ไม่ต้องวิตก ม.272 กันอีก ต้องยอมรับเศรษฐกิจพังพินาศแล้ว ต้องคิดแล้วประเทศจะอยู่อย่างไรต่อไป

ข่าวล่าสุด

ล้ำไปอีกขั้น เสื้อกั๊ก AI ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองขยับแขน