"เทพไท" วอน "พรรคร่วมรัฐบาล" หนุนเปิดทางแก้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

เมื่อวันที่ 18 ส.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา256 ว่า วานนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ ได้แสดงจุดยืนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 อย่างชัดเจนแล้วตามที่พรรคประกาศมาตลอดว่าควรแก้ไข

นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้การแก้ไขประเด็นอื่นอีก 5 ประเด็น และตอนนี้ได้มอบหมายให้ตัวแทนพรรคไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล ดังนี้

1.การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

2.เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีข้อด้อยกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550

3.เรื่องการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องแก้ไขให้มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารจัดการท้องถิ่นของตัวเองมากยิ่งขึ้น

4.ระบบการเลือกตั้งที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ต้องมีการแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เพื่อเลือกตัวบุคคลและพรรคการเมือง

5.บทเฉพาะกาล มาตรา 269 ถึง 272 เกี่ยวกับสมาชิกวุฒิสภาถึงการได้มาและสิทธิ์ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

นายเทพไท กล่าวอีกว่า การแสดงจุดยืนของหัวหน้าพรรคในครั้งนี้ มีความชัดเจน สะท้อนถึงท่าทีและเปรียบเสมือนมติของพรรค ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้

ทั้งนี้ตนในฐานะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่ง จะขอยึดเอาแนวทางและมติของพรรคเป็นหลัก และจะผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และ 5 ประเด็นย่อยให้ประสบความสำเร็จ ต่อจากนี้จะให้ฝ่ายกฎหมายของพรรค ยกร่างญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในทุกประเด็น เพื่อเป็นญัตติด่วนยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาโดยเร็วที่สุด เพราะในขณะนี้มีพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อประธานรัฐสภาแล้ว ซึ่งตามข้อบังคับการประชุม จะต้องบรรจุเป็นวาระการประชุมภายใน 15 วัน ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นญัตติล่าช้า จะทำให้ไม่ทันการพิจารณาร่วมกับญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน

แต่ในข้อจำกัดของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีจำนวน ส.ส.เพียง 52 คน จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ครบจำนวน 100 คน และเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลคงเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน เพราะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ได้ร่วมกันแถลงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ถ้าหากว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็เท่ากับเป็นการปฎิเสธเงื่อนไขการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ 3 ข้อ ที่ได้ประกาศไว้เป็นสัญญาประชาคม ก่อนการเข้าร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา