posttoday

รัฐบาลตัวการ! ซ้ำเติมสถานการณ์โลกร้อน เอาใจทุนพลังงาน – อุตสาหกรรม ปล่อยมลพิษ PM2.5

08 พฤษภาคม 2562

ยกโครงการ “พลังงานสะอาด” ให้ทุนพลังงานผูกขาดหาประโยชน์ ขีดกันชุมชนรายย่อยผลิต ขาดเป้าหมายลดพลังงานฟอสซิล

ยกโครงการ “พลังงานสะอาด” ให้ทุนพลังงานผูกขาดหาประโยชน์ ขีดกันชุมชนรายย่อยผลิต ขาดเป้าหมายลดพลังงานฟอสซิล

เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2562 สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สคส.) จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ “การเปลี่่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการพัฒนาที่ยั่งยืน”โดยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงาน กลุ่มนิเวศน์วัฒนธรรมศึกษา กล่าวว่าต้องเร่งขยายแนวคิด Climate Defender หรือ นักปกป้องโลกร้อน เพราะปัจจุบันสถานการณ์เลวร้ายอย่างมาก

เช่น กรณี ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 แม้ภาครัฐจะพยายามลดโลกร้อนด้วยการรับข้อเรียกร้องระดับโลกจากองค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) แต่ก็พยายามผลักโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ด้วยการออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการสามารถตั้งโรงงาน ณ จุดใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงกฎหมายผังเมือง จึงทำให้เกิดโรงงานไฟฟ้าขยะ หรือ โรงงานอุตสาหกรรมหนักเกิดขึ้นมากมาย

นี่คือตัวการของการสร้างมลพิษทางอากาศ มิใช่เกิดจากมลพิษจากควันรถยนต์หรือระบบขนส่งที่ใช้พลังงานฟอสซิล โดยภาครัฐไม่ได้วัด PM2.5 จากต้นกำเนิด คือ โรงงานอุตสาหกรรม

นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของโครงการพลังงานสะอาด เช่น โซล่าเซลส์ หรือ โซล่าฟาร์ม ที่รัฐบาลกำลังสนับสนุนให้กลุ่มทุนนิยมขนาดใหญ่ด้านพลังงาน แต่ไม่สนับสนุนให้ภาคประชาชน ชุมชน หรือ ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับการสนับสนุนเพื่อเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาด ดังนั้นนโยบายพลังงานสะอาดของรัฐบาลได้กลายเป็นโครงการพลังงานสะอาดโดยทุนผูกขาด

และ รัฐบาลไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการตั้งเป้าหมายนโยบายพลังงานสะอาดเพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิล รวมถึงไม่มีเป้าหมายที่จะให้ประชาชนได้เข้าถึงหรือเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดอย่างแท้จริงทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินการเพื่อให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดพลังงานสะอาด

นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการทำประมงอย่างยั่งยืนมีความสำคัญตั้งแต่การจับปลา ณ ตำแหน่งใด โดยไม่ได้จับสัตว์น้ำขนาดเล็ก สัตว์น้ำที่จับได้ สดสะอาด และปลอดสารฟอมารีนผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง จนกลายเป็นกระแสความนิยม
แม้แต่ประมงขนาดใหญ่ ยังนำแนวคิดของชาวประมงที่ทำประมงอย่างยั่งยืน พร้อมกับต้องพยายามดันให้คนรุ่นใหม่ หรือ ชาวประมงพื้นบ้านคนยุคใหม่ Smart Fisher Folk คือ ต้องมั่นใจในตัวเองด้วยการทำให้เป็นจริงทั้งด้านเห็นผลเป็นรูปธรรมจากการทำงานระหว่างชาวบ้านกับองค์กรพัฒนาเอกชน(เอ็นจีโอ) เช่น แหล่งท่องเที่ยวชุมชนทางทะเลที่มีสัตว์น้ำหายากจริง ชุมชนได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่จัดเป็นอีเว้นธ์สนุกๆ ตัวอย่างที่เห็นชัด คือ กรณี ปากบารา จ.สตูล

“ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน เป็นเพียงปัญหาหนึ่งแต่เกิดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร และ กดขี่จากผู้มีอำนาจที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากทะเล เช่น พลังงาน ท่องเที่ยว ขนส่ง ฯลฯ แม้ไอยูยู จะสามารถแก้ปัญหาสถานการณ์สัตว์น้ำในทะเลจากการกำกับเรือประมงขนาดใหญ่ จาก2-3 หมื่นลำ เหลือ ร้อยกว่าลำเท่านั้น จึงทำให้ปริมาณสัตว์น้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประมงพื้นบ้านเริ่มปรับตัวและมีข้อจำกัดจากกฎหมายภาครัฐ”

นายวิโชคศักดิ์ กล่าวว่าปัญหาใหญ่ของการทำประมงอย่างยั่งยืน คือ ภาครัฐ ละเลยปัญหาการจับปลาทุกชนิดโดยไม่เลือกชนิด ขนาดหรืออายุ เช่น เรือประมงขนาดใหญ่ได้รับใบอนุญาตจับปลากะตัง แต่ปลาที่จับได้ทั้งหมดล้วนเป็นลูกปลาทู แต่ภาครัฐกลับไปมุ่งเรื่อง ไอยูยู ตรวจสอบแรงงานต่างด้าว ขนาดเรือ หรือ อุปกรณ์จับสัตว์น้ำ แต่ไม่สนการจับสัตว์น้ำโดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน หากทำแบบนี้ทรัพยากรในท้องทะเลหายนะอย่างแน่นอน

นายกิตติศักดิ์ รัตนกระจ่างศรี ประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่าการจัดการทรัพยากรป่าไม้และที่ดิน ในฐานะชนเผ่าพื้นเมืองได้รับผลกระทบสูงจากปัญหาสภาวะโลกร้อน และ นโยบายหรือกฎหมายของภาครัฐที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต จากการที่ภาครัฐประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทับพื้นที่และขับไล่ชนเผ่าพื้นเมืองออกจากป่า จึงไม่สามารถดำเนินวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั่งเดิมของชนเผ่าไว้ได้

โดยการกระทำของภาครัฐไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วม จึงส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองต้องสูญเสียที่ดินทำกิน จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ไม่สามารถรักษาองค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไว้ได้

ทั้งนี้เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองยังได้ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนเห็นได้ชัดจากปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นอากาศร้อนฝนตกน้อย ยิ่งภาครัฐห้ามเผา จึงทำให้ใบไม้ทับถมสะสมจำนวนมาก จึงทำให้เกิดไฟป่า ฤดูการเพาะปลูกเปลี่ยนไป พืชบางชนิด เช่น “เมียง” เหมือนต้นชา เคยเติบโตในป่า แต่ปีนี้ผลผลิตตกต่ำมาก

เพราะถูกแดดและความร้อนแผดเผา สำหรับแนวทางการจัดการแก้ปัญหา คือ การทำแผนที่ชุมชน จัดตั้งเครือข่ายดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทำข้อมูลเพื่ออธิบายให้สังคมภายนอกและภาคราชการได้เข้าใจ

“ปัญหาไฟป่าเห็นได้ชัดถึงผลสำเร็จความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชน หรือไม่ เช่น ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ทางจังหวัดให้งบ 11 ล้านบาท เพื่อดับไฟป่า โดยแจกจ่ายเงินให้กับ 400 กว่าหมู่บ้านเพื่อช่วยดูแล เฉลี่ยหมู่บ้านละหมื่นกว่าบาท แต่ที่ จ.เชียงใหม่ ดับไฟป่าแต่ละครั้งระดมคนและชาวบ้าน 125 คน โดยเป็นการรวมพลังระหว่างชาวบ้านถือเป็นการรวมพลังให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม ถือเป็นการจัดการร่วม เช่น วิธีชิงเผาก่อน หรือ จับจุดฮอตสปอต โดยดึงภาคประชาสังคมประชาชนเข้ามาช่วยกันมีส่วนร่วมแก้ปัญหาไฟป่า”

ข่าวล่าสุด

ความหมายที่ซ่อนอยู่ กับ ‘การตีระฆัง 108 ครั้ง’ ในวันปีใหม่ของ ‘ญี่ปุ่น’