เสถียรภาพอ่อนแอ ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง
พปชร.มีจำนวนเก้าอี้ สส.เบียดสูสีกับ เพื่อไทย มีระยะห่างเพียงแค่หลักสิบต้นๆ การเลือกตั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เป็นบทสรุปทางการเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองบทใหม่ หลัง สิ้นสุดอำนาจการบริหารประเทศของ คสช.
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยังไม่ประกาศหรือรับรองผลการเลือกตั้ง แต่ ณ ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มเห็นหน้าตานายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หน้าละม้ายคล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คนปัจจุบันเข้าไปทุกที
พรรคพลังประชารัฐ มีจำนวนเก้าอี้ สส.เบียดสูสีกับพรรคเพื่อไทย โดยมีระยะห่างเพียงแค่หลักสิบต้นๆ เท่านั้น ซึ่งการนับคะแนนที่ยังไม่หยุดนิ่ง
ประกอบกับระบบการเลือกตั้งจัดสรร ปันส่วนผสม ย่อมมีผลให้ผลการเลือกตั้งพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา
ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจมีจำนวนเก้าอี้ สส.ทิ้งขาดพรรคพลังประชารัฐไปได้ ถึงจะมีโอกาสฟอร์มรัฐบาลก่อน แต่มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีเสียงไม่พอ แบบนั้นโอกาสจะกลับมาเป็นของพรรคพลังประชารัฐทันที พร้อมกับเสียง สว.ที่หนุนหลังอยู่
จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมผู้สันทัดกรณีจากหลายสำนักฟันธงตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะเข้าเส้นชัยอย่างสวยงาม
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นบทสรุปทางการเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองบทใหม่ ภายหลังสิ้นสุดอำนาจการบริหารประเทศของ คสช.
ตามขั้นตอนของการเดินหน้าเข้า สู่ระบอบรัฐสภา จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการรับรอง สส.ให้ได้จำนวน 95% หรือ 475 คน จากทั้งหมด 500 คน ให้ได้ภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.คาดว่าจะประกาศรับรองได้ในช่วงเดือน พ.ค. ทันกรอบเวลา 60 วันตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
เสร็จจากกระบวนการข้างต้น ภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง สส. ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ซึ่งการเปิดประชุมดังกล่าวจะเป็นการเริ่มต้นของสมัยประชุมของรัฐสภาที่สมัยประชุมรัฐสภาหนึ่งจะมีเวลา 120 วัน
เมื่อเปิดสมัยประชุมแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาในการทำหน้าที่เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ซึ่งประธานสภายังจะเป็นประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งอีกด้วย โดยทันทีที่ได้ตัวประธานรัฐสภา กระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะเริ่มขึ้นเช่นกัน
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อตั้งรัฐบาลผสมอย่างน้อย 5 พรรคการเมือง
ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งจะมีเสียงเกิน 251 เสียงจาก สส.ทั้งหมด 500 คนไม่มากนัก
เรียกได้ว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรสูสีกัน พอสมควร เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็นนายกฯ ได้ด้วยแรงสนับสนุนจากวุฒิสภาตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ
ทุกครั้งของการขึ้นมาเป็นนายกฯ สิ่งที่ยากที่สุดไม่ได้อยู่ที่การฟอร์มรัฐบาล แต่เป็นการที่รัฐบาลจะอยู่อย่างไรภายใต้เสถียรภาพทางการเมืองที่ง่อนแง่นแบบนี้
การเปิดสมัยประชุมรัฐสภาไม่ต่างอะไรกับการเปิดสงครามทางการเมือง งานกลุ่มแรกที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือ การจัดทำนโยบายของรัฐบาลเพื่อแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา และการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
การแถลงนโยบายรัฐบาล แม้รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและไม่ต้องผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่การแถลงนโยบายของรัฐบาล จะเป็นการแสดงแสนยานุภาพของรัฐบาลว่าจะพาประเทศไทยเดินหน้าอย่างไรตลอด อายุของรัฐบาล 4 ปี
ส่วนการเสนอกฎหมาย งบประมาณประจำปี อย่างที่ทราบกัน ดีว่ากฎหมายงบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญของการบริหารประเทศ รัฐบาลจะไปรอดหรือไม่รอด ก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายงบประมาณส่วนหนึ่ง
ที่สำคัญทั้งการแถลงนโยบาย ของรัฐบาลและการเสนอกฎหมาย งบประมาณ จะไม่ได้เป็นง่ายของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐ เหมือนกับที่เคยเสนอกฎหมาย ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีกแล้ว
ทุกถ้อยคำในนโยบายรัฐบาลและกฎหมายงบประมาณ จะถูกฝ่ายค้านที่มีเสียงพอๆ กับรัฐบาล ชำแหละข้ามวันข้ามคืน ไม่ใช่การยกมือผ่านกฎหมาย งบประมาณด้วยเวลา 3 ชั่วโมงแบบที่ สนช.เคยทำให้เห็นมาก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ คนที่ 30 จะมีเพดานความอดทนอดกลั้นต่อการอภิปรายของนักการเมืองอาชีพขนาดไหน เพราะตลอด 5 ปีล้วนแต่ฟัง คำหวานของสมาชิก สนช.มาตลอด
ขณะเดียวกันสมัยประชุมของรัฐสภาที่จะเปิดขึ้น หมายความว่ามี ความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นฝ่ายค้านที่มีมากกว่า 200 เสียงเข้าชื่อกันเพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตั้งแต่ปีแรกในการทำงานของรัฐบาล โดยไม่ให้รัฐบาลมีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แบบในอดีต
ยิ่งไปกว่านั้นรัฐมนตรีที่เป็น สส. ก็จะไม่สามารถโหวตลงมติไว้วางใจ ให้กับรัฐมนตรีในรัฐบาลได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส.ต้องปราศ จากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เท่ากับว่าเสียงโหวตก็จะหายไป บางส่วนด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะระหว่างทางยังมีเรื่องอีกมาก และด้วยเสียงในสภาที่รัฐบาลมีไม่ เด็ดขาด โอกาสที่รัฐบาลจะอยู่ได้ ไม่นานก็มีความเป็นไปได้สูง


