แรกหวานหลังกล้ำกลืน "กองทัพกับการเมือง" จากสายตานักข่าวสายทหารรุ่นเก๋า "ป้าแจ๋ว-อนุกูล"
เผยชีวิตมุมมองและประสบการณ์ทำงานในเหล่าทัพของ "อนุกูล วงษ์บัวทอง" นักข่าวสายทหารวัย 84 ปีผู้ผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติและความขัดแย้งมาอย่างโชกโชน
เผยชีวิตมุมมองและประสบการณ์ทำงานในเหล่าทัพของ "อนุกูล วงษ์บัวทอง" นักข่าวสายทหารวัย 84 ปีผู้ผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติและความขัดแย้งมาอย่างโชกโชน
**********************************
โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด
บรรยากาศการเมืองไทยกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังเงียบเหงามาเกือบ 5 ปี โดยเกมชิงอำนาจเพื่อก้าวสู่รัฐสภา ยิ่งใกล้ถึงช่วงโค้งสุดท้ายก็ทวีความดุเดือดขึ้นมาก
ทว่าหากมองผู้สมัครครั้งนี้ มีทั้งนักการเมืองหน้าเก่าและใหม่ บางคนเป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ อีกส่วนก็เป็นอดีตข้าราชการทหาร-ตำรวจที่ลงสนามการเมืองเพื่อหวังเป็นตัวแทนประชาชนมามีอำนาจบริหารประเทศชาติ แต่เกิดคำถามขึ้นว่าการที่อดีตทหาร-ตำรวจ มาเล่นการเมืองจะเป็นอย่างไรหากเปลี่ยนหัวโขนจากผู้นำเหล่าทัพ มาเป็นผู้นำประชาชน
อนุกูล วงษ์บัวทอง (ป้าแจ๋ว) นักข่าวอาวุโส วัย 84 ปี บุคคลที่คุ้นเคยคลุกคลีวงการชุดพรางและสีกากีอย่างยาวนานจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตและมุมองการทำงานในสนามการเมืองและวงการกองทัพกว่า 40 ปี รวมถึงแนะนำผู้เคยมีบารมี ถ้าหากคิดลงสนามอำนาจควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ใจประชาชน
เข้ากันหรือไม่...ทหาร Vs การเมือง
อนุกูล ถ่ายทอดประสบการณ์ที่สัมผัสแวดวงทหารมากว่า 40 ปีว่า ในอดีตทหารส่วนใหญ่เป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองมุ่งมั่นสนใจแต่การรบป้องกันผืนแผ่นดินเพียงอย่างเดียว แต่สมัยนี้โดยเฉพาะทหารบกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น เป็นมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เพื่อเข้าสู่สนามการเมือง
นักข่าวอาวุโสวัย 84 มองว่า การที่ทหารมาเล่นการเมืองส่วนใหญ่สุดท้ายมักไปไม่รอดอยู่ได้ไม่นานเดี๋ยวก็จบ เพราะทหารไม่เก่งเชี่ยวชาญเรื่องการเมือง เนื่องจากไม่ได้เรียนโดยตรงมาด้านเศรษฐศาสตร์ การบริหารประเทศ แต่เรียนด้านยุทธวิธีวิธีจับอาวุธรบป้องกันประเทศ
“เข้ามาช่วงแรกแม้ได้รับเสียงฮือฮา แต่ไม่นานประชาชนเขาก็เบื่อ ถ้าอยากช่วยประชาชนจริงๆ ต้องจำไว้ว่า ถ้าสัญญาอะไรกับประชาชนต้องทำให้ได้ ข้อสำคัญควรดูแลคนรากหญ้าให้มีชีวิตดีและทั่วถึง เพราะถ้าประเทศไม่มีปัญหาเรื่องปากท้อง คนเขาก็ไม่หันไปทำเรื่องไม่ดี ปัญหาต่างๆก็ไม่เกิด”
นักข่าวรุ่นใหญ่สายทหาร ย้ำว่าฝากถึงนายทหารผู้ใหญ่ถ้าคิดลงสนามการเมือง ต้องดูแลประชาชนคนรากหญ้าให้ดี อย่าเชื่อใจลูกน้องมากจนเกินไป ถ้าหากอะไรไม่เห็นด้วยตาไม่ควรเชื่อ
ต้นเหตุ-ทางแก้การ “ปฏิวัติ”
ประเทศไทยจะมี “ปฏิวัติ” อีกหรือไม่..? เพราะหลัง พ.ศ.2475 มีการรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง
นักข่าวสายทหารวัย 84 เล่าว่าการปฏิวัติในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนการทำรัฐประหารจะใช้อาวุธปืน รถถังยิงต่อสู้ประหัตประหารเข่นฆ่ากันจริงๆ แต่ปัจจุบันเน้นปฏิวัติเงียบไม่ใช้อาวุธ พร้อมยกตัวอย่างปี 2557 การยึดอำนาจครั้งที่ผ่านมา ก็ไม่เกิดความวุ่นวายประชาชนไม่ตกใจแม้แต่นิด
“เมื่อก่อนปฏิวัติทีรถถังวิ่งกันเต็มถนน เสียงปืนใหญ่ ปืนกลดังสนั่น น่ากลัวมาก แต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว เขาปฏิวัติเงียบยึดอำนาจคนก็ไม่ค่อยสนใจ ก็ยึดอำนาจเฉยๆ มันหมดยุคเขาไม่ใช้อาวุธกันแล้ว”
ส่วนเหตุแห่งการปฏิวัติเกิดจากต่างฝ่ายต่างๆอยากมีอำนาจช่วงชิงความเป็นใหญ่ เพราะถึงแม้เป็นญาติหรือเพื่อนสนิทก็ไม่อาจยอมได้ “คล้ายๆว่ารู้ใจกันไม่ได้ คือ อยากใหญ่ไง”
ป้าแจ๋ว มองว่าวาทกรรมปฏิวัติเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเหตุแท้จริงเกิดจากความขัดแย้งของคนแต่ละกลุ่มๆพวกใครพวกมัน และจากประสบการณ์ไม่เคยเห็นว่า การรัฐประหารครั้งใดสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งตามที่กล่าวอ้างได้สักครั้ง
“ตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้อายุ 80 กว่า ไม่เห็นว่าการปฏิวัติจะแก้ปัญหาอะไรได้เลย รวมถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้ปัญหาก็ยังสะสมอยู่”
อนุกูล มองว่าทางแก้ปัญหาความขัดแย้งสร้างการปรองดองให้สำเร็จ ผู้นำต้องใจกว้างพร้อมย้อมรับ “เราคนไทยจะไปทะเลาะกันทำไม ตอนนี้เมื่อใกล้เลือกตั้งทุกฝ่ายควรจับมือไม่สร้างความขัดแย้ง ยศถาบรรดาศักดิ์ตายก็เอาไปไม่ได้ ทุกคนต้องขึ้นเมรุด้วยกันทั้งนั้น ป้าว่าเราควรรักสามัคคีกัน”
ถามว่าการปฏิวัติจะมีอีกไม่? นักข่าวสายทหารวัย 84 ไม่ฟันธงเพียงแต่บอกว่า ตราบใดทหารยังมีอาวุธอยู่ในมือ ก็อาจเกิดการปฏิวัติได้ แม้จะมีกฎหมายหรือทหารออกมาพูดรองรับก็ไม่สามารถเชื่อได้ เพราะถึงอย่างไรทหารยังคุมอาวุธ
นักข่าวสายทหาร มองว่าทางออกของประเทศตอนนี้ต้องสู้กันด้วยเศรษฐกิจ “ถ้าประชาชนอยู่ดีกินดี เขาก็ไม่อยากทะเลาะกัน ฉะนั้นผู้นำประเทศต้องดูแลเศรษฐกิจปากท้องประชาชนเป็นหลัก อย่าสนใจเอาแต่พักพวกเข้ามาในการเมือง รัฐบาลควรนึกถึงปากท้องประชาชนเป็นหลัก เมื่อรากหญ้ายังยากจนก็ต้องดูแล แต่เมื่อไหร่คนอยู่ดีกินดีทุกอย่างก็ราบรื่น ประเทศก็เดินไปได้อย่างสวยงาม”
พิราบเหล็กแห่งเหล่าทัพไทย
อนุกูล ปัจจุบันอายุ 84 ปี ยังคงทำงานสื่อมวลชนที่รักและผูกพันมานานกว่า 40 ปี ตอนนี้เป็นบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สายกลาง ทุกวันยังคงเดินทางออกจากย่านลาดพร้าว เพื่อมานั่งประจำอยู่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน หรือตระเวนหาข่าวแวดวงกองทัพในกระทรวงกลาโหม
ชีวิตพิราบเหล็กคนนี้เกิดในรั้วทหาร พ่อเป็นอดีตทหารประจำการกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4) ย่านถนนเกียกกาย แม่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธทหารบก เป็นลูกสาวและพี่คนโตจากน้องทั้งหมด 6 คน แต่ชีวิตต้องพลิกผันหลังพ่อเสียตอนเรียนชั้นประถม จากเดิมมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว ต้องเพิ่มบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัวรองจากแม่ที่ต้องเปลี่ยนบทบาทจากแม่บ้านกลายเป็นแม่ค้าดอกไม้ย่านปากคลองตลาด ตั้งแต่นั้นจึงทำให้อนุกูลเป็นคนแข็งแกร่งเพราะต้องคอยช่วยครอบครัว
ชีวิตการศึกษาจบชั้นมัธยมโรงเรียนราชินีบน จบปริญญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักศึกษารุ่นแรกของคณะวารสารศาสตร์และสื่อมวลชน ช่วงชีวิตนักศึกษามักคอยรับงานจัดรายการวิทยุเพื่อหารายได้ช่วยครอบครัว หลังเรียนจบปริญญาได้งานเป็นบรรณารักษ์โรงเรียนราชินีบนประมาณ 2 ปี จากนั้นเพื่อนชักชวนกลับมาทำงานสื่อมวลชน ตอนแรกทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ตะวันสายได้ 3 ปี จากนั้นย้ายมาทำหนังสือพิมพ์สายกลางจวบจนถึงปัจจุบัน
การทำงานข่าวช่วงแรก อนุกูลเป็นนักข่าวประจำเกือบทุกสาย อาทิ ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร แต่มาประจำสายทหารสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 (ช่วงปี 2517) ก่อนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23
ป้าแจ๋ว เล่าว่าชีวิตการทำงานเมื่อก่อนนักข่าวกับทหารมีความใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนพี่น้อง ซึ่งทหารที่ตนเคารพรักและสนิทสุดคือ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) บิดา พล.อ.อภิรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก คนปัจจุบัน
สมัยก่อนนั้นตนและ พล.อ.สุนทร มักชอบพูดคุยสังสรรค์กันเป็นประจำโดยมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 2 คน คือ พล.อ.ชวลิต กับ ขจรศักดิ์ ทิพย์ทัศน์ อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโส มักร่วมตัวพูดคุยกันที่บ้าน พล.อ.ชวลิต แต่ความสนิทกับสหายกลุ่มนี้ลดลงไปหลัง พล.อ.สุนทร เสียชีวิต และนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลทำให้ตนหยุดดื่มสุราตั้งแต่นั้นมาถึงปัจจุบัน
ชีวิตการทำงานได้สัมผัสผู้บัญชาการเหล่าทัพมาหลายยุค แต่ละคนก็มีบุคลิกส่วนตัวและการทำงานแตกต่างกัน พร้อมยกตัวอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นิสัยเป็นคนสบายๆโกรธง่ายหายเร็วบางครั้งมีอารมณ์ขันแอบตลก ส่วนการทำงานตอนสมัยเป็น ผบ.ทบ.เป็นคนเข็งแข็งพูดดุดันลุยงานเกือบทุกอย่าง คล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ส่วนผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน พล.อ.อภิรัตน์ บุคลิกดูสง่าน่านับถือ มีสัมมาคารวะดี มุ่งมั่น นิสัยคล้ายบิดา พล.สุนทร แต่เรื่องการทำงานถึงอย่างไรยังต้องติดตามต่อไป
นักข่าวอาวุโสสายทหาร ทิ้งท้ายว่าตลอดการทำงานกว่า 40 ปีบนเส้นทางนี้ ทุกช่วงมีความสำคัญและประทับใจทุกเหตุการณ์ เพราะรู้สึกสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ออกไปหาข่าวเพื่อนำข้อมูลมานำเสนอให้สังคมได้รับรู้ ซึ่งส่วนตัวตั้งปณิธานว่าจะทำหน้าที่นี้จนกว่าจะหมดแรงเพราะมันคือชีวิต


