นโยบายหาเสียง ขายฝันทุกพรรค
"ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ ฟันธงนโยบายพรรคการเมืองล้วนขายฝัน เพราะต่างนำเสนอนโยบายแบบสวยหรู และไม่สามารถชี้แจงถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณเพื่อทำให้ได้จริง
"ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ ฟันธงนโยบายพรรคการเมืองล้วนขายฝัน เพราะต่างนำเสนอนโยบายแบบสวยหรู และไม่สามารถชี้แจงถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณเพื่อทำให้ได้จริง
**************************************
โดย...ปริญญา ชูเลขา
การหาเสียงเลือกตั้งเดินทางมาช่วงใกล้โค้งสุดท้าย พรรคการเมืองต่างชูนโยบายกันสุดลิ่มทิ่มประตู มีทั้งรัฐสวัสดิการ สวัสดิการแห่งรัฐ ประชานิยม เพื่อพยายามโน้มน้าวคะแนนนิยมจากประชาชนเพื่อให้ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเลือกว่าที่นายกรัฐมนตรี พรรค หรือผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อและเขต ในวันที่ 24 มี.ค.นี้
นโยบายของบรรดาพรรคการเมืองที่นำเสนอในครั้งนี้ แท้ที่จริงแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงกุศโลบายของพรรคการเมือง “ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า นโยบายพรรคการเมืองล้วนขายฝันเพราะทุกพรรค เพราะต่างนำเสนอนโยบายแบบสวยหรูไม่ต่างกันและไม่สามารถชี้แจงถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณมาสนับสนุนว่าจะนำงบประมาณมาจากไหนเพื่อทำให้ได้จริงตามที่สัญญาไว้กับประชาชน
ณรงค์ อธิบายว่า ทุกพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายไม่ต่างกันและสิ่งที่ทำเหมือนกัน คือ ไม่มีพรรคใดกล้าพูดว่าจะนำเงินงบประมาณมาจากไหนเพื่อสนับสนุนนโยบายพรรคตัวเอง และไม่มีพรรคใดเสนอนโยบายมาตรการทางภาษีมารองรับนโยบายที่พรรคตัวเองประกาศไว้ โดยเฉพาะพรรคที่โปรโมทนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะแท้จริงรัฐสวัสดิการไม่ว่าในรูปแบบใด เช่น สิทธิถ้วนหน้า ประกันสังคมถ้วนหน้า หรือนโยบายแจกเงินคนจนแบบถ้วนหน้า ต้องใช้เงินภาษีแผ่นดินทั้งสิ้น แต่ไม่มีพรรคใดประกาศนโยบายมาตรการทางภาษีที่เป็นแหล่งงบประมาณในการสร้างรัฐสวัสดิการ
สำหรับมาตรการทางภาษีที่พรรคการเมืองควรดำเนินการ ณรงค์ บอกว่า ควรมีดังนี้ 1.ภาษีอัตราก้าวหน้าของธุรกิจ เช่น ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเก็บภาษีหรือแวต 20-28% หรือ 2.ภาษีบุคคลธรรมดาเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นกัน คือ รายได้สูงย่อมต้องจ่ายภาษีสูงด้วยประมาณ 17-18% นับรายได้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทแรกขึ้นไป จนถึง 100 ล้านบาทเก็บภาษีแบบอัตราก้าว คือ ยิ่งรายได้สูงยิ่งต้องจ่ายภาษีสูงตามไปด้วย และ 3.ภาษีทรัพย์สินหรือภาษีมรดกย่อมเก็บภาษีแพงมากเช่นกัน เช่น ประเทศสวีเดน บ้านหลังที่สองจะถูกเก็บภาษีแพงยิ่งกว่าราคาบ้านเป็นเท่าตัว
“สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐสวัสดิการแบบรัฐบาลแจกเงินถ้วนหน้าให้กับคนจนคนมีรายได้น้อยหมดทุกคน รัฐบาลนั้นต้องเก็บภาษีสูงสำหรับผู้มีรายได้สูงหรือคนรวย แต่ประเทศไทยกลับลดภาษีสำหรับคนรวยในภาคธุรกิจจาก 30% เหลือ 19% คนที่รวยอยู่แล้วก็ยิ่งรวยเข้าไปอีก คำถาม คือ ภาษีคนรวยไม่เก็บ แต่กลับจะเอาเงินภาษีแผ่นดินไปแจกคนจน คำถาม คือ รัฐบาลจะเอาเงินมาจากไหน”
ณรงค์ ยังได้มองถึงอนาคตประเทศไทยอีกว่า จะเผชิญวิกฤตภาคแรงงานที่ถือว่าเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจไทย เพราะปัจจุบันเราเข้าสู่ยุคดิจิทัลกระบวนการผลิตสินค้าและบริการต่างพึ่งพาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technology Advance) มาแทนแรงงานมนุษย์ ผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมในตลาดแรงงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กล่าวคือ เกิดการว่างงานจากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด (Disruptive Technology) คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะเกิดอัตราการว่างงานจากการปลดคนงานแล้วนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และหุ่นยนต์ มาแทนผู้ใช้แรงงานราวๆ 40-50%
“ปัญหาคนตกงานจะหนักขึ้น เพราะภาครัฐสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนให้ผู้ประกอบการนำเอไอและหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อเข้ามาทดแทนแรงงานคนโดยไม่มีมาตรการรองรับปัญหาการว่างงานและไม่มีพรรคการเมืองใดนำเสนอแนวทางในการรับมือคนตกงานจากความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีในภาคแรงงาน”
ณรงค์ ระบุอีกว่า ขณะที่เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คือ การบริโภค การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออก แต่เกินครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี คือ ภาคการบริโภค ซึ่งเม็ดเงินหรือรายได้จากการบริโภคเกือบทั้งหมดมาจากรายได้ประชาชาติ และรายได้ประชาชาติมาจาก “ค่าจ้าง” ดังนั้นหากผู้ใช้แรงงานตกงานย่อมส่งผลกระทบให้การบริโภคจะลดต่ำลง คำถามตามมา คือ เศรษฐกิจในภาพรวมจะเป็นอย่างไร หากผู้ใช้แรงงานตกงานจากการนำเอไอหรือหุ่นยนต์เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ ถึงเวลานั้นวิกฤตเศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ สถานการณ์ยิ่งซ้ำร้ายเข้าไปอีก เมื่อระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีในปัจจุบันประชาชนระดับล่างที่หาเช้ากินค่ำหาบเร่แผงลอยประสบปัญหาความไม่เป็นธรรมจากระบบตลาดเสรี ที่ภาครัฐเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนใหญ่ให้ฮุบระบบตลาดเสรีและเอารัดเอาเปรียบกลุ่มคนตัวเล็กตัวน้อยหรือธุรกิจรายย่อยๆ ไม่อาจทำมาค้าขายได้ ปัจจุบันยอดขายของธุรกิจขนาดเล็กตกลงไปไม่ต่ำกว่า 60-70% เพราะตลาดเศรษฐกิจการค้าการขายตกอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ยิ่งภาครัฐสนับสนุนและสร้างให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ขาย ยิ่งส่งเสริมการผูกขาดระบบตลาดเสรีภายในประเทศให้ใหญ่โตมากขึ้น
“ตลาดค้าขายในประเทศคนตัวเล็กตัวน้อยต้องแข่งกับทุนใหญ่ ที่ฮุบทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศโดยที่คนเหล่านี้ เช่น ร้านค้าโชห่วยต่างๆ ก็ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐใครอยู่ได้สู้ได้ก็อยู่ไปจึงสู้ได้แค่ขายคุ้มทุนเท่านั้นเอง”
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาภาคแรงงานพยายามเสนอแนวคิด “ธนาคารแรงงาน” ด้วยการกู้ยืมแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น ประกันสังคมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือในลักษณะออกเป็นพันธบัตรย่อมทำได้ เพื่อนำมาส่งเสริมสนับสนุนให้แก่ผู้ใช้แรงงานได้เข้าถึงแหล่งทุน ด้านการศึกษา หรือประกอบอาชีพ แต่ภาครัฐกลับไม่สนับสนุน แต่กลับไปสนับสนุนฟิโกไฟแนนซ์ ถามว่าสามารถแก้หนี้นอกระบบแก่ผู้ใช้แรงงานได้จริงหรือไม่ เพราะปัจจุบันผู้ใช้แรงงานหรือชาวบ้านทั่วไปยังไปกู้หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด ดังนั้นรัฐบาลคือตัวการสร้างความเหลื่อมล้ำแทน
“ในทางการเมืองเหตุผลที่บรรดาพรรคการเมืองไม่นำเสนอนโยบายที่ช่วยเหลือหรือสนับสนุนคนจนหรือคนงาน เพราะทุกพรรคการเมืองต้องพึ่งกลุ่มทุน จึงไม่มองต้นต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการไม่ส่งเสริมคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม”
ยิ่งการเมืองภาคประชาชน ในระบบการเลือกตั้งระเบียบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้สนับสนุนหรือเอื้อประโยชน์ให้ประชาชนได้ตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองขนาดเล็กไม่สามารถตั้งพรรคได้ เพราะไม่มีทางพรรคของประชาชนจริงๆ จะส่งผู้สมัครได้ทุกเขตที่ทุกคะแนนไม่ตกน้ำ ไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะปัจจุบันพรรคการเมืองต่่างเป็นตัวแทน “พรรคทหาร” “พรรคธุรกิจ” และ “พรรคราชการ” เท่านั้น ดังนั้นอำนาจประชาชนมีเพียงเสี้ยววินาทีในการหย่อนบัตรลงคะแนนในวันเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นอำนาจจะตกอยู่ในกลุ่มทุนทหาร ธุรกิจ และราชการ ดังนั้นจึงไม่เห็นนโยบายพรรคไหนนำเสนอนโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำจริงๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบการเมืองได้จริง
“ไม่ได้มีการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาเป็นเพียง “ปฏิกิริยาการเมือง” เท่านั้น ที่เห็นชัดเจน คือ นโยบายแจกเงินเด็ก คนแก่ หรือสตรีมีครรภ์ 500 หรือ 1,000 บาทแก่คนนับล้าน แต่เม็ดเงินเหล่านั้นกลับทำให้กลุ่มทุนภาคธุรกิจได้ประโยชน์มหาศาล นับหมื่นนับพันล้านบาท เพราะระบบตลาดเสรีตกอยู่ในมือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ จึงไม่ได้เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากตัวเลขความเหลื่อมล้ำ ปีก่อน 58% ปัจจุบันเพิ่มเป็น 68% ดังนั้นยุคนี้ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ลดลง”
ณรงค์ กล่าวปิดท้ายว่า นโยบายแจกเงินไม่ว่ารัฐบาลไหนเป็นแค่เศษเงินหรือแค่เศษกระดูกที่โยนมาให้คนจน แต่เม็ดเงินเหล่านั้นกลับไปพอกพูนความร่ำรวยแก่กลุ่มทุนที่สะสมทุนอย่างมหาศาล แถมยังลดภาษีให้อีก แล้วแบบนี้จะเรียกว่าลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร เพราะการลดความเหลื่อมล้ำต้องลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน คือ ทรัพย์สิน สิทธิ โอกาส และอำนาจ ทุกคนต้องเท่าเทียมกันไม่ใช่ไปเพิ่มทรัพย์สินและอำนาจแก่กลุ่มทุนแล้วหลงลืมคนยากคนจน


