'บิ๊กป้อม'คุมเลือกสว. ผนึกกำลังเบ็ดเสร็จ
สถานการณ์ทางการเมืองไทยกำลังมาถึงอีกจุดหักเหที่สำคัญ ภายหลังกระบวนการสรรหาวุฒิสภาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
โดย....ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สถานการณ์ทางการเมืองไทยกำลังมาถึงอีกจุดหักเหที่สำคัญ ภายหลังกระบวนการสรรหาวุฒิสภาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา
ปัจจุบันประเทศไทยมี สว.อย่างไม่เป็นทางการแล้วจำนวน 6 คน จากทั้งหมด 250 คน ประกอบด้วย ผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการกองทัพบก ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงกลาโหม
ส่วนที่เหลือจะมาจากสองสายสายที่ 1 คณะกรรมการสรรหา ชุดนี้จะทำหน้าที่คัดเลือกและสรรหาว่าที่ สว.ให้จำนวนไม่เกิน 400 คน และส่งให้ คสช.ก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 194 คน
สายที่ 2 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ที่ได้ทำการคัดเลือกกันเองไม่เกิน 200 คน และส่งให้ คสช.ก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อให้คัดเลือกให้เหลือ 50 คน
ทั้งนี้ คสช.ต้องคัดเลือก สว. 250 คน ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันนับแต่ วันประกาศผลการเลือกตั้ง สส. เท่ากับว่าประมาณเดือน พ.ค.ซึ่งเป็นช่วงที่ กกต.เคยประกาศว่าจะสามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้นั้น คนไทยทั้งประเทศจะได้มีโอกาสเห็นรายชื่อ สว.ชุดใหม่อย่างเป็นทางการ
ทันทีที่การคัดเลือก สว.เริ่มมีความเคลื่อนไหว ส่งผลให้เริ่มเห็นโครงสร้างของวุฒิสภาชุดต่อไปขึ้นมาทันที เพราะอาจจะได้คนหน้าเดิมกลับเข้ามาพอสมควร ดังจะเห็นได้จากท่าทีของ "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี
"แนวทางการสรรหาคงไม่ยากลำบาก จะเอาจากคนที่เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)
ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่างๆ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำมาประกอบกัน ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่รวบรวมแล้ว แต่คงมีหลายพันรายชื่อ คณะกรรมการชุดนี้จะมีหน้าที่ทำให้เหลือ 400 คน" รองนายกฯวิษณุ ระบุเมื่อ วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา
การประกาศว่าอาจจะเอาคนกันเองทั้ง สนช. สปช. และ สปท. มาเป็น สว.ทำให้พอเห็นภาพได้ว่าวุฒิสภาชุดต่อไปจะมีหน้าตาและ ภารกิจอะไร
อย่างที่ทราบกันดีว่าวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอำนาจหน้าที่หลัก 2 เรื่อง
1.ร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีแม้ สว.จะไม่มีอำนาจเสนอชื่อนายกฯ ได้โดยตรง แต่การที่มี สว.มาจากแหล่งที่มาเดียวกันถึง 250 คน ส่งผลให้ทิศทางการเลือกนายกฯ มาอยู่ในมือของ สว.โดยปริยาย ถ้าจะบอกว่าการเลือกนายกฯ นั้นวุฒิสภาจะกลายเป็น กลุ่มการเมืองใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งใน สภาขึ้นมาทันที
2.ติดตามการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ วุฒิสภามีหน้าที่ติดตามและสอบถามรัฐบาลว่าได้มีการดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งรัฐบาลต้องแจ้ง ต่อรัฐสภาทุก 3 เดือน
แต่ภารกิจทางกฎหมายนั้นยังไม่น่าจับตาเท่ากับภารกิจทางการเมือง เพราะวุฒิสภาในอนาคตอาจจะแสดงบทบาทแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเทศไทยจะได้ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี
วิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมา ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แน่นอนว่าวุฒิสภา 250 คน พร้อมเทคะแนนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อวุฒิสภาเทคะแนนให้เช่นนี้ พรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ขั้วตรงข้ามกับพรรคพลังประชารัฐอย่างชัดเจน ก็อาจเข้าร่วมยกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน
แต่หากเป็นพรรคการเมืองคู่แข่งของพรรคพลังประชารัฐอย่างพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมากเกินครึ่งสภาไม่มาก วุฒิสภาก็อาจจะเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผล ให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ
เว้นแต่พรรคเพื่อไทยรวมเสียงข้างมากได้เกิน 375 เสียง แบบนี้ 250 เสียงของวุฒิสภาก็คงไม่อาจมาขวางพรรคเพื่อไทยได้
การเลือกวุฒิสภาของ คสช.ครั้งนี้ จะมีความหมายในทางการเมืองเป็นอย่างมาก เพราะวุฒิสภาจะเข้ามาเป็นผู้สานต่อและติดตามงานของ คสช.ที่วางรากฐานเอาไว้ให้เรียบร้อย จึงไม่แปลกที่จะส่งสัญญาณว่าจะเน้นไปบุคคลจากแม่น้ำ 3 สายข้างต้นเป็นหลัก เนื่องจากเคยทำงานกับ คสช. กันอย่างรู้ใจกันมาแล้ว
ผลการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.อาจเป็นเพียงจุดที่ชี้ให้เห็นว่าใครจะเป็น สส. แต่ไม่อาจบอกได้ว่าใครจะเป็นนายกฯ ทันทีเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา เพราะต้องมาวัดใจและวัดกำลังกับวุฒิสภา เพื่อชิงตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองอีกยก


