สายธารแห่งพระราชดำริ สู่แหล่งน้ำมีชีวิตใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
“...ความเจริญมั่นคงทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น...”
โดย อนัญญา มูลเพ็ญ
“...ความเจริญมั่นคงทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น...”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2552
แม้ภาครัฐจะใช้ความพยายามในการเข้าไปแก้ไขปัญหามาหลายปี แต่สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ โดยในพื้นที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมโดยกฎหมายพิเศษหลายฉบับ
แต่ในสถานการณ์ที่ยังไม่สู้จะปกติดีนี้ ยังมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการเข้าไปคลี่คลายปัญหาตามแนวทางต่างๆ
เช่นเดียวกับการเข้าไปดำเนินโครงการพัฒนาในพื้นที่ของมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ ที่กำลังขับเคลื่อนการพัฒนาโดยประยุกต์แนวพระราชดำริ ที่ยึดความต้องการของพื้นที่เป็นหลักสำคัญในการดำเนินงาน
แรงบันดาลใจจากศาสตร์พระราชา ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และเศรษฐกิจพอเพียง’
พื้นที่สีแดงดินแดนนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ที่ผสมผสานธรรมชาติ สามัญสำนึกของชาวบ้านไทยพุทธ ไทยมุสลิม กับศาสตร์แห่งพระราชา ตามหลักการทรงงาน 23 ข้อ หลักการเข้าถึง เข้าใจ พัฒนา และเศรษฐกิจพอเพียง ได้ถูกหล่อหลอมและเป็นโมเดลต้นแบบในการอยู่ร่วมกันของชาวบ้านในพื้นที่ต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม
การัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ ให้ข้อมูลกับคณะสื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆ ที่ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการทำงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ นี้ แรกเริ่มเป็นการดำเนินโครงการพัฒนาในภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางเป็นหลัก แต่สำหรับการดำเนินการในระยะที่ 2 ปี 2559-2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้นโยบายว่าให้ริเริ่มงานในพื้นที่ต้นแบบแห่งใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
“จากการพูดคุยกับทางจังหวัดชายแดนใต้ พบว่ามีฝายทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางอยู่ 300 ตัว ที่เกินกำลังที่ท้องถิ่นจะดำเนินการได้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เข้ามาช่วยสนับสนุนดำเนินการ”
การันต์ กล่าวถึงหลักการทำงานในพื้นที่ว่า ทุกโครงการของที่นี่จะได้รับการขับเคลื่อนผ่านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่มีเป้าหมายสำคัญคือต้องทำให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ พ้นจากความอดอยาก และหนี้สิน
“ลดช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท โดยอาศัยศาสตร์พระราชาคือการเข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา หลักการทรงงาน 23 ข้อ พัฒนาพื้นที่อย่างสอดคล้องกับภูมิสังคม เน้นความต้องการของชุมชนเป็นหลัก"
ทำให้โครงการที่เข้าไปดำเนินการมีทั้งส่วนที่สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คัดเลือกพื้นที่ และส่วนที่จังหวัดคัดเลือก ซึ่งการดำเนินงานในปี 2559 ที่ผ่านมา ดำเนินการไปใน 4 พื้นที่ ทั้งใน จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยเป็นโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ ซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน หรือโครงการควิก วิน (Quick Win) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธา
ส่วนปี 2560 การทำงานเน้นการสื่อสารสร้างความเข้าใจเพื่อขับเคลื่อนงานการพัฒนาทั้งในพื้นที่ชุมชนไทยพุทธและมุสลิม ทั้งการแก้ไขปัญหาระบบน้ำ ซ่อมแซมฝาย โครงการลดรายจ่ายสร้างรายได้แก่เกษตรกรในพื้นที่
………...ล้อมกรอบ 1..............
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ศาสตร์พระราชา (The king's Philosophy) แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการต่างๆ มากกว่า 4,000 โครงการ เพื่อพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน
ศาสตร์พระราชา ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักการนำทาง ประกอบด้วยสามห่วง สองฐาน คือความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันในตน มีฐานความรู้ และฐานคุณธรรม
วิธีการของศาสตร์พระราชา จากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา โดยต้องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา คน วัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
เข้าใจ หมายถึง การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว การใช้และแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ การวิเคราะห์และการวิจัย การทดลองใช้จนได้ผลจริงก่อน
เข้าถึง หมายถึง การระเบิดจากข้างใน เข้าใจกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา และสร้างปัญญาสังคม
พัฒนา หมายถึง การพัฒนาที่ประชาชนเริ่มต้นด้วยตนเอง พึ่งพาตนเองได้ และมีต้นแบบในการเผยแพร่ความรู้ให้ประชาชนได้เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้
การประยุกต์แห่งศาสตร์พระราชา ต้องทำให้ด้วยความรัก ความปรารถนาและด้วยใจ ต้องประยุกต์ใช้อย่างยั่งยืน ไม่ยึดติดตำรา ปรับตามบุคคล สภาพพื้นที่และสถานการณ์ ตัวอย่างของการประยุกต์แห่งศาสตร์พระราชา ได้แก่ โครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ เกษตรทฤษฎีใหม่ แกล้งดิน แก้มลิง ฝนหลวง กังหันน้ำชัยพัฒนา หญ้าแฝก เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สถานีวิทยุ อส ถนนวงแหวน ถนนรัชดาภิเษก ทางด่วนลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี สะพานพระราม 8 ฟอนท์ไทยจิตรลดา และเสาอากาศสุธี เป็นต้น
ผลลัพธ์ของศาสตร์พระราชา คือแผ่นดินโดยธรรมและประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามตามพระปฐมบรมราชโองการ พออยู่พอกิน และรู้รักสามัคคี อันเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แนวทางการบริหารประเทศด้วย “ศาสตร์พระราชา” ของรัฐบาลมีการดำเนินการในเรื่องต่างๆ อันประกอบด้วย ตั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยึดถือ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” คือ ทำให้ประชาชนมีความสุข มีความพึงพอใจ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยรักษาสมดุล ทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการแก้ปัญหา ตามแนวทางสันติวิธี และยึดแนวทางการพัฒนา “สีเขียว” เสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้ประเทศชาติและประชาชน โดยให้มีการพัฒนาประชาธิปไตย ที่เหมาะสมกับบริบทของไทย และมีอัตลักษณ์ไทย
...........................
‘ฝายสากอ’ นราธิวาส ต้นแบบการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม
เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านใน อ.สากอ สูญเสียโอกาสและผลประโยชน์ที่จะได้รับไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท จากอุทกภัยพิบัติในปี 2557 ทำให้ฝายสากอชำรุดเสียหายเนื่องจากการปรับปรุงซ่อมแซมฝายสากอต้องใช้ทั้งแรงคนแรงเงิน ทำให้การขอความช่วยเหลือไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐ
โครงการซ่อมแซม “ฝายสากอ” ที่ทางคณะได้ลงพื้นที่ติดตามความสำเร็จครั้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในโครงการควิกวิน (Quick Win) หรือแผนปฏิบัติการเร่งรัดเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สู่การปฏิรูปประเทศ : การพัฒนาและเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 และการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ ที่สามารถดึงคนในชุมชนเข้ามาร่วม และจะเป็นโมเดลที่ทาง จ.นราธิวาส เจ้าของพื้นที่ คาดหวังว่าจะเป็นต้นแบบการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่อื่นของนราธิวาส รวมถึงพื้นที่อื่นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
พาตีเมาะ สะดียามู รอง ผวจ.นราธิวาส กล่าวว่า โครงการซ่อมแซมฝายสากอนี้เป็นการดำเนินการจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยฝายแห่งนี้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำที่สำคัญในช่วงฤดูแล้งของบ้านตันหยง ต.สากอ และพื้นที่ใกล้เคียง
"แรกเริ่มโครงการนี้เป็น 1 ใน 10 โครงการชลประทานขนาดเล็กของ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส สร้างเสร็จในปี 2527 ความจุของน้ำฝายมีประมาณ 1.5 ลูกบาศก์เมตร พื้นที่รับประโยชน์รวม 2,500 ไร่ ครอบคลุม 6 หมู่บ้าน ของ ต.สากอ ประชากร 1,229 หลังคาเรือน ประชากร 5,061 คน เป็นฝายที่มีความสำคัญต่อการเกษตรในพื้นที่ ซึ่งต่อมากรมชลประทานได้ถ่ายโอนภารกิจให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) สากอ เป็นผู้ดูแล"
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์น้ำท่วมในปี 2557 ทำให้ฝายแห่งนี้ชำรุด ฝายถูกปิดทับด้วยทราย ประตูระบายน้ำเสียหาย ทางน้ำเปลี่ยนทิศ ปีกฝายเสียหายสะพานฝายพัง มีเพียงคลองส่งน้ำเดิมที่พอใช้งานได้ ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายรัฐยังไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการซ่อมแซม ต้องปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการดำเนินการใดๆ
ปัญหาที่ตามมาคือชาวบ้านส่วนหนึ่งมีน้ำไม่เพียงพอในช่วงหน้าแล้ง เพราะไม่มีฝายในการช่วยกักเก็บน้ำเพื่อการทำนา ส่วนช่วงหน้าฝนหรือฤดูน้ำหลากก็เกิดอุทกภัยน้ำท่วมทำให้พื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยเกิดความเสียหาย
ปัญหานี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบมองเห็น และร่วมมือกันเพื่อหาทางแก้ไข
รอง ผวจ.นราธิวาส ยอมรับว่ากว่าโครงการนี้จะเดินหน้าใช้เวลาหารือกันนาน โดยเฉพาะการทำความเข้าใจในส่วนต่างๆ แต่ผลได้สำคัญคือการดึงทั้งหน่วยงานรัฐและคนทั้งในชุมชนและต่างชุมชนเข้ามาร่วมกันทำงาน โดยมีมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ เป็นตัวกลาง
โครงการซ่อมแซมฝายสากอ ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2560 และสนับสนุนงบประมาณจากสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ จำนวน 10.66 ล้านบาท ในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ส่วนการทำงานไปใช้แรงงานชาวบ้านปรับเปลี่ยนหมุนเวียนมาใช้แรงงานทุกวัน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ นักเรียน อาสาสมัครที่หมุนเวียนมาจากต่างพื้นที่และอาสาสมัครสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ เป็นพี่เลี้ยงในการทำงาน
รองผู้ว่าฯ พาตีเมาะ กล่าวว่า ดำเนินโครงการมา 8 เดือนเต็ม ตอนนี้โครงการคืบหน้ามากว่า 90% แล้วเหลือในส่วนของการเก็บความเรียบร้อยของงาน โดยตั้งเป้าจะให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปีที่ผ่านมาเพื่อจะให้เป็นของขวัญปีใหม่กับประชาชนในชุมชน ซึ่งหลังจากนี้คาดว่ามีมีพื้นที่รับประโยชน์จากฝายเพิ่มขึ้นเป็น 1,190 ไร่ มีมูลค่าเศรษฐกิจการการสามารถกลับมาปลูกพืชเกษตรสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ลองกอง มังคุด ทุเรียน ไม่น้อยกว่าปีละ 16 ล้านบาท
“ฝายสากอน่าจะเป็นฝายที่ใหญ่ที่สุดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรืออาจจะที่สุดในประเทศที่ใช้กำลังเข้ามาร่วมกันจำนวนมาก กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของนักศึกษา เพราะที่นี่นำหลากหลายศาสตร์เข้ามาจัดการทั้งศาสตร์พระราชาซึ่งเป็นหลักทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ศาสตร์ของชาวบ้าน ศาสตร์สมัยใหม่ เทคนิคชลประทาน อาจเป็นศาสตร์ที่ไม่เคยใช้ที่ไหนในประเทศนี้ แต่นำมาผสมผสานปรับเข้ากับปริบทของที่นี่
ชุมชนจะรู้สึกเป็นเจ้าของที่นี่เพราะได้ร่วมกันลงมือทำมากกว่าที่ทางการเข้ามาทำให้ และเราคาดหวังว่าที่นี่จะเป็นต้นแบบการทำงานที่จะนำไปใช้กับพื้นที่อื่นในนราธิวาส รวมถึง 3 จังหวัดชายแดน” พาตีเมาะ กล่าว
รุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอ อ.สุไหงปาดี เล่าว่า เดิมได้ของบประมาณเพื่อดำเนินการซ่อมแซมฝายสากอเป็นวงเงิน 20 ล้านบาท แต่ไม่ได้รับจัดสรรเนื่องจากเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูง แต่การดำเนินการภายใต้โมเดลของมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ตัดต้นทุนสำคัญคือค่าแรงออกไป เพราะขอแรงของทั้งชุมชน นักเรียน อาสาสมัคร หน่วยงานทหาร ตำรวจ รวมแล้วแรงงานประมาณ 50 แรง/วัน ตลอดระยะเวลา 8 เดือน ทำให้งบประมาณที่ใช้เป็นเพียงค่าซื้อวัสดุต่างๆ ส่วนเครื่องมือหนักก็มีหน่วยงานรัฐเข้ามาสนับสนุน ทำให้ประหยัดงบประมาณไปเกือบ 10 ล้านบาท
“โครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งการสามารถประหยัดงบประมาณ และการสร้างความสามัคคีของคนในจังหวัดชายแดน” นายอำเภอสุไหงปาดี กล่าว
สัญชัย เหสามี กำนัน ต.สากอ กล่าวว่า ด้วยขนาดของฝายและความเสียหายอยู่ในระดับที่เกินกำลังของชุมชนที่จะดำเนินการเอง ความเสียหายตลอด 3 ปี ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำนาได้ ก่อนจะเริ่มโครงการได้มีการทำประชาคมใน 12 หมู่บ้านก่อน และต้องชี้แจงว่าจะต้องทำแบบไม่มีค่าตอบแทน ได้รับเพียงวัสดุสนับสนุนมา นำไปสู่การออกแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีนายช่าง อบจ.และ อบต.อยู่ด้วยตลอด
“ตอนแรกผมกังวล ไม่รู้จะรวมคนมาทำได้แค่ไหน ด้วยสถานการณ์ต่างๆ มันค่อนข้างจะยากพอควรในการรวมคน และปัญหาของที่นี่คือมีฝนตลอดการทำงานค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อเริ่มงานแล้วผมประทับใจที่เห็นคนทั้งในและต่างตำบล คนพุทธ มุสลิม มาช่วยกัน ทำให้ฝายตัวนี้เป็นฝายมีชีวิตจากฝีมือของทุกคน รองผู้ว่าฯ ก็มาดูการทำงานตลอดทุกคนมุ่งสู่ฝายนี้ทำให้เป็นหนึ่งเดียว ชุมชนจะรักษา ดูแลและหวงแหนฝายนี้ เดิมรัฐมาสร้างให้เราไม่ได้รักเท่ากับที่เราสร้างเอง” กำนันสัญชัย กล่าว
ในวันที่ลงพื้นที่เพื่อดูโครงการซ่อมแซมฝายสากอ แม้จะมีฝนโปรยลงมาตลอดเวลา แต่เราก็ได้มองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ เป็นภาพท้องทุ่งเขียวชอุ่ม และมองเห็นเทือกเขาบูโดมีหมอกปกคลุมอยู่ไม่ไกล รองผู้ว่าฯ พาตีเมาะ เล่าว่า ในอนาคตต้องการพัฒนาที่นี่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชุมชน เพราะที่นี่จะเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำที่ทุกคนได้มาร่วมมือพัฒนาจนสำเร็จ
นอกจากประโยชน์ที่ชาวบ้านจะได้รับที่คิดเป็นตัวเงิน โดยพื้นที่ได้รับประโยชน์ 1,976 ไร่ ครอบคลุม 6 หมู่บ้าน ใน ต.สากอ 1,229 หลังคาเรือน 5,061 คน คิดเป็นมูลค่ารายได้ที่จะได้รับไม่ต่ำกว่า 16 ล้านบาท/ปี และความใหญ่โตของฝายสากอที่สามารถกักเก็บได้ 1.5 หมื่น ลูกบาศก์เมตร
แม้ในสายตาของคนนอกพื้นที่จะมองว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหายากต่อความเข้าใจและแก้ไข แต่สำหรับคนในแล้วที่นี่คือบ้าน ที่ทุกคนล้วนอยากทำบ้านของตัวเองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจฟื้นฟูฝายสากอ ให้กลับมาใช้งานได้ กักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงอีกมากมายหลายชีวิต
สิ่งสำคัญที่สุด คือประชาชนลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง มาโดยไม่ได้บังคับ มาด้วยความรู้สึก เป็นห้องเรียนห้องใหญ่ที่นำคนทุกภาคส่วน ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา มาเรียนรู้ร่วมกัน ระเบิดจากภายในของชาวบ้าน และส่งผลไปถึงการเป็นเจ้าของของชุมชน
ดังพระราชดำรัส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากหนังสือพระมหากษัตริย์นักพัฒนาเพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา พุทธศักราช 2554, หน้า 28-29
“เป้าหมายในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 คือ ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของคน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ให้คนมีความสุข โดยต้องคำนึงเรื่องสภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา เชื้อชาติ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจ สังคม แม้ว่าวิธีการพัฒนามีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือนักพัฒนาจะต้องมีความรัก ความห่วงใย ความรับผิดชอบ และการเคารพในเพื่อนมนุษย์ จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ และเป็นเรื่องของจิตใจ”
……….ล้อมกรอบ 2..........
มูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริและสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ
มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ พัฒนาต่อเนื่องมาจากโครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551
ในเวลานั้น โครงการปิดทองหลังพระฯ มีพันธกิจตามมติคณะรัฐมนตรี คือ เพื่อฉลองพระชนมายุครบ 80 และ 84 พรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชนสามารถเรียนรู้และสร้างประสบการณ์ตรงจากแนวทางโครงการพระราชดำริ และน้อมนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมการเรียนรู้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่และส่งเสริมอาชีพ ประชาชน รวมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และศิลปวัฒนธรรมไทย
ในการดำเนินภารกิจของโครงการปิดทองหลังพระฯ เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริ ให้ขยายผลสู่ชุมชนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนนั้นกลับมีข้อจำกัดการที่เป็นหน่วยงานย่อยในสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
ดังนั้น เพื่อให้มีหน่วยงานเฉพาะรองรับภารกิจสืบสานแนวพระราชดำริให้ขยายผลสู่ชุมชนได้อย่างกว้างขวาง คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2552 เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการจัดตั้ง "มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ" และ "สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ" ทั้งนี้ ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2553
สำหรับโครงการในพื้นที่ภาคใต้ ที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ดำเนินการ ประกอบด้วย 1.บ้านฮูแตทูวอ ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส 2.บ้านโคกยามู ต.ไพรวัน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 3.บ้านจำปูน ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา 4.บ้าน กม.26 ใน ต.ตาเนาะปูเตะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา 5.บ้านสุเหร่า ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี 6.บ้านแป้น ต.แป้น อ.สายบุรี จ.ปัตตานี 7.บ้านละโพ๊ะ ต.ป่าไร่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี


