ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (30)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2352 เวลาสิ้นรัชกาลที่ 1 นั้น
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2352 เวลาสิ้นรัชกาลที่ 1 นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีพระชนม์ได้ 11 พรรษา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จเสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ 2 นั้น ทรงมีพระชนมายุได้ 42 พรรษาแล้ว ทรงแก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี 32 ปีเศษ
ว่ากันว่าพระบุคลิกลักษณะของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดียามกำดัดนั้น ทรงพระสิริโฉมงามยิ่งนัก ประดุจความงดงามของนางบุษบา ที่มีปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ไว้อย่างไพเราะว่า
“อันนางโฉมยงองค์นี้
เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา
เพียงจันทราทรงกลดหมดราคี
งามดังโก สุมประทุมมาลย์
บานอยู่ในท้องสระศรี”
หรืออีกตอนหนึ่งที่ว่า
“เจ้าเอย เจ้าดวงยิหวา
ดังหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน
ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน
ฉุกใจไม่ทันคิดเลย”
และตอนที่นางบุษบาเล่นธารความว่า
“พักตร์น้องละอองนวลปลั่งเปล่ง
ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไรศรี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์
ดังกินรีลงสรงคงคาลัย
งามจริงพริ้งพร้อมทั้งสรรพางค์
ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน
พิศพลางประดิพันธ์กำหนัดใน
จะใคร่โอบอุ้มองค์มา
ดูเดินดังดำเนินเหมราช
งามประหลาดเลิศล้ำเลขา
พิศไหนให้เพลินจำเริญตา
พระราชาชมพลางทางถอนใจ”
ในรัชกาลที่ 2 นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ได้เป็นพระราชชายานารี พระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อมีพระชนมายุประมาณ 17 หรือ 18 พรรษา ข้อที่เปรียบกันว่า เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เหมือนนางบุษบาในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา และกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครชายาเดิม (คือเจ้าฟ้าบุญรอด) นั้นเปรียบเหมือนนางจินตหรา มีปรากฏข้อความอยู่ในหนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า
“เจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งทรงเล่าว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ นั้นทรงอยู่ในฐานะแม้นละม้ายคล้ายจินตหราในเรื่องอิเหนา เพราะเหตุที่ทรงเป็นพระประยูรญาติเรียงพี่เรียงน้อง หากแต่เป็นพระมเหสีดั้งเดิม จึงได้อยู่ฝ่ายขวา ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดีเป็นพระน้องนางเธอร่วมพระชนกเดียวกัน ได้เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 จึงต้องอยู่ฝ่ายซ้าย คล้ายบุษบาขององค์อิเหนา หรือระเด่นมนตรี ซึ่งที่แท้ก็คือพระองค์ผู้ทรงพระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั่นเอง เมื่อองค์ระเด่นมนตรีทรงมีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาดังนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายขวาจะต้องขึ้งโกรธ และทรงระทมตรมตรอม นัยเดียวกันกับพระราชนิพนธ์ที่ว่า “เมื่อนั้น จินตหราวาตีมีศักดิ์ ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนัก สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม” เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ มา ในที่สุดกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ก็เสด็จหนีไปประทับ ณ พระราชวังเดิมกรุงธนบุรี มีเจ้าฟ้าพระองค์น้อยคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดต้อยตามเสด็จไปเป็น “ลูกแม่” คอยปลอบประโลมพระทัยให้คลายเศร้า แต่เจ้าฟ้าพระองค์น้อย หรือฟ้าน้อย ก็คงวิ่งไปมาระหว่างพระชนกกับพระชนนี ระหว่างกรุงเทพฯ กับกรุงธน จนกระทั่งพระชนม์ได้ 12 ปี 6 เดือน ได้รับพระราชพิธีโสกันต์เต็มตามพิธีใหม่ชั้นเจ้าฟ้า”
แม้นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะทรงสนิทเสน่หา สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ตาม แต่ก็มิได้ทรงยกย่องพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายเหนือกว่ากรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทั้งนี้เข้าใจว่า เพราะพระองค์ทรงถือความสัตย์ที่ได้เคยทรงปฏิญาณทานบนไว้กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐภาดาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีว่าจะไม่ให้บุตรแลภริยาทั้งปวงเป็นใหญ่กว่าหรือเหนือกว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์จึงทรงอนุญาตยอมให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ไปไว้ยังพระราชวังเดิม ดังนั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเษกแล้ว ทรงได้เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีเป็นพระชายา ก็ทรงชุบเลี้ยงไปโดยมิได้เปิดเผยผิดไปจากปกติ เมื่อประสูติพระราชโอรส 3 พระองค์และพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง แต่พระราชธิดานั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ คงเหลือแต่พระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ ในครั้งนั้นก็ไม่มีใครเรียกเจ้าฟ้าหรือทูลกระหม่อมเจ้าฟ้า ก็พากันเรียกแต่องค์ใหญ่ องค์กลางและองค์ปิ๋ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ทรงได้ยิน แต่ก็ไม่เห็นทรงกริ้วเป็นประการใด เห็นแต่เรียกกันแต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่” ถ้าเป็นคำทูล พระเจ้าอยู่หัวก็ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฉะนั้น และเรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทูลกระหม่อมพระองค์น้อย และถ้าเป็นคำทูลพระเจ้าอยู่หัวก็ว่า พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอสุนีบาต ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระโอรสองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เป็นเจ้าฟ้าพระราชทานนามว่าอาภรณ์ แต่นั้นมาคนทั้งหลายก็เรียกกันว่า “เจ้าฟ้าอาภรณ์” แต่องค์กลางองค์ปิ๋ว ก็ยังได้ยินเรียกกันว่าองค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นที่เรียกกันมาแต่เดิม
ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามมหามาลา แด่องค์กลางและสถาปนาเป็น กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ แต่นั้นมาคนทั้งหลายก็เรียกองค์กลางว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ส่วนองค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชันษาได้ 19 ปี ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ว่ากันว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้รับราชการกำกับกรมนครบาล ครั้นถึงปี 2391 เกิดกบฏหม่อมไกรสร คดีมีเรื่องพัวพันอย่างไรไม่ปรากฏชัด เจ้าฟ้าอาภรณ์ถูกสงสัยและถูกคุมขังด้วย จึงได้สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังด้วยอหิวาตกโรคในปีนั้นเอง มีพระชันษา 33 ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำพระศพไปฝังดินไว้ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ได้โปรดให้ขุดพระศพขึ้นมาและกราบบังคมทูลขอทำพิธีถวายพระเพลิงตามแบบอย่างพิธีถวายพระเพลิงศพเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า
จึงนับได้ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงเป็นบรรพสตรี และต้นราชสกุล อาภรณ์กุล ณ อยุธยา และมาลากุล ณ อยุธยา สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้


