posttoday

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (30)

27 สิงหาคม 2560

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2352 เวลาสิ้นรัชกาลที่ 1 นั้น

โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคตเมื่อปี 2352 เวลาสิ้นรัชกาลที่ 1 นั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี มีพระชนม์ได้ 11 พรรษา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จเสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ 2 นั้น ทรงมีพระชนมายุได้ 42 พรรษาแล้ว ทรงแก่กว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี 32 ปีเศษ

ว่ากันว่าพระบุคลิกลักษณะของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดียามกำดัดนั้น ทรงพระสิริโฉมงามยิ่งนัก ประดุจความงดงามของนางบุษบา ที่มีปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ไว้อย่างไพเราะว่า

“อันนางโฉมยงองค์นี้

เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า

นวลละอองผ่องพักตร์โสภา

เพียงจันทราทรงกลดหมดราคี

งามดังโก สุมประทุมมาลย์

บานอยู่ในท้องสระศรี”

หรืออีกตอนหนึ่งที่ว่า

“เจ้าเอย เจ้าดวงยิหวา

ดังหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน

ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน

ฉุกใจไม่ทันคิดเลย”

และตอนที่นางบุษบาเล่นธารความว่า

“พักตร์น้องละอองนวลปลั่งเปล่ง

ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไรศรี 

อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์

ดังกินรีลงสรงคงคาลัย

งามจริงพริ้งพร้อมทั้งสรรพางค์

ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน

พิศพลางประดิพันธ์กำหนัดใน

จะใคร่โอบอุ้มองค์มา

ดูเดินดังดำเนินเหมราช

งามประหลาดเลิศล้ำเลขา

พิศไหนให้เพลินจำเริญตา

พระราชาชมพลางทางถอนใจ”

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (30) สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี

ในรัชกาลที่ 2 นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ได้เป็นพระราชชายานารี พระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อมีพระชนมายุประมาณ 17 หรือ 18 พรรษา ข้อที่เปรียบกันว่า เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เหมือนนางบุษบาในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา และกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครชายาเดิม (คือเจ้าฟ้าบุญรอด) นั้นเปรียบเหมือนนางจินตหรา มีปรากฏข้อความอยู่ในหนังสือพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า

“เจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งทรงเล่าว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ นั้นทรงอยู่ในฐานะแม้นละม้ายคล้ายจินตหราในเรื่องอิเหนา เพราะเหตุที่ทรงเป็นพระประยูรญาติเรียงพี่เรียงน้อง หากแต่เป็นพระมเหสีดั้งเดิม จึงได้อยู่ฝ่ายขวา ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกุณฑลทิพยวดีเป็นพระน้องนางเธอร่วมพระชนกเดียวกัน ได้เป็นพระมเหสีพระองค์ที่ 2 จึงต้องอยู่ฝ่ายซ้าย คล้ายบุษบาขององค์อิเหนา หรือระเด่นมนตรี ซึ่งที่แท้ก็คือพระองค์ผู้ทรงพระนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั่นเอง เมื่อองค์ระเด่นมนตรีทรงมีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาดังนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ฝ่ายขวาจะต้องขึ้งโกรธ และทรงระทมตรมตรอม นัยเดียวกันกับพระราชนิพนธ์ที่ว่า “เมื่อนั้น จินตหราวาตีมีศักดิ์ ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนัก สะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม” เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ มา ในที่สุดกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทร์ ก็เสด็จหนีไปประทับ ณ พระราชวังเดิมกรุงธนบุรี มีเจ้าฟ้าพระองค์น้อยคือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดต้อยตามเสด็จไปเป็น “ลูกแม่” คอยปลอบประโลมพระทัยให้คลายเศร้า แต่เจ้าฟ้าพระองค์น้อย หรือฟ้าน้อย ก็คงวิ่งไปมาระหว่างพระชนกกับพระชนนี ระหว่างกรุงเทพฯ กับกรุงธน จนกระทั่งพระชนม์ได้ 12 ปี 6 เดือน ได้รับพระราชพิธีโสกันต์เต็มตามพิธีใหม่ชั้นเจ้าฟ้า”

แม้นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะทรงสนิทเสน่หา สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ตาม แต่ก็มิได้ทรงยกย่องพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายเหนือกว่ากรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ ทั้งนี้เข้าใจว่า เพราะพระองค์ทรงถือความสัตย์ที่ได้เคยทรงปฏิญาณทานบนไว้กับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระเชษฐภาดาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีว่าจะไม่ให้บุตรแลภริยาทั้งปวงเป็นใหญ่กว่าหรือเหนือกว่า กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์จึงทรงอนุญาตยอมให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ไปไว้ยังพระราชวังเดิม ดังนั้นเมื่อได้เสด็จเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเษกแล้ว ทรงได้เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีเป็นพระชายา ก็ทรงชุบเลี้ยงไปโดยมิได้เปิดเผยผิดไปจากปกติ เมื่อประสูติพระราชโอรส 3 พระองค์และพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง แต่พระราชธิดานั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ คงเหลือแต่พระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ ในครั้งนั้นก็ไม่มีใครเรียกเจ้าฟ้าหรือทูลกระหม่อมเจ้าฟ้า ก็พากันเรียกแต่องค์ใหญ่ องค์กลางและองค์ปิ๋ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ทรงได้ยิน แต่ก็ไม่เห็นทรงกริ้วเป็นประการใด เห็นแต่เรียกกันแต่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่” ถ้าเป็นคำทูล พระเจ้าอยู่หัวก็ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ ฉะนั้น และเรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ทูลกระหม่อมพระองค์น้อย และถ้าเป็นคำทูลพระเจ้าอยู่หัวก็ว่า พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอสุนีบาต ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระโอรสองค์ใหญ่ของเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี เป็นเจ้าฟ้าพระราชทานนามว่าอาภรณ์ แต่นั้นมาคนทั้งหลายก็เรียกกันว่า “เจ้าฟ้าอาภรณ์” แต่องค์กลางองค์ปิ๋ว ก็ยังได้ยินเรียกกันว่าองค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นที่เรียกกันมาแต่เดิม

ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามมหามาลา แด่องค์กลางและสถาปนาเป็น กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ แต่นั้นมาคนทั้งหลายก็เรียกองค์กลางว่า เจ้าฟ้ามหามาลา ส่วนองค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระชันษาได้ 19 ปี ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ว่ากันว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้รับราชการกำกับกรมนครบาล ครั้นถึงปี 2391 เกิดกบฏหม่อมไกรสร คดีมีเรื่องพัวพันอย่างไรไม่ปรากฏชัด เจ้าฟ้าอาภรณ์ถูกสงสัยและถูกคุมขังด้วย จึงได้สิ้นพระชนม์ในที่คุมขังด้วยอหิวาตกโรคในปีนั้นเอง มีพระชันษา 33 ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้นำพระศพไปฝังดินไว้ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ได้โปรดให้ขุดพระศพขึ้นมาและกราบบังคมทูลขอทำพิธีถวายพระเพลิงตามแบบอย่างพิธีถวายพระเพลิงศพเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า

จึงนับได้ว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงเป็นบรรพสตรี และต้นราชสกุล อาภรณ์กุล ณ อยุธยา และมาลากุล ณ อยุธยา สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ