posttoday

6 คำถามโรคตับ คั่งไขมัน (1)

23 กรกฎาคม 2560

โรคตับคั่งไขมันหรือบางครั้งเรียกกันว่าไขมันพอกตับ (Fatty liver) เป็นโรคที่พบบ่อยมาก โดยผู้ป่วยมักไม่มีอาการ

โดย...ศ.ดร.นพ.สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

1.โรคตับคั่งไขมันคือโรคอะไร และอันตรายอย่างไร

โรคตับคั่งไขมันหรือบางครั้งเรียกกันว่าไขมันพอกตับ (Fatty liver)  เป็นโรคที่พบบ่อยมาก โดยผู้ป่วยมักไม่มีอาการ  แต่มาพบแพทย์ด้วยการทราบผลจากการตรวจสุขภาพโดยอาจมีผลค่าการทำงานของตับสูงผิดปกติ หรือผลตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีลักษณะตับขาวผิดปกติ มักมีการดำเนินโรคช้าๆ แพทย์ต้องคุยซักประวัติหาสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ตับอักเสบได้บ่อย เช่น สาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์
ที่เกินกว่า 2 ดริงก์/วัน จากไวรัสตับอักเสบบี หรือซี และจากยา รวมถึงอาหารเสริม สมุนไพรหรือฮอร์โมนเพศชายที่วัยรุ่นชอบใช้เพื่อเสริมมวลกล้ามเนื้อ เป็นต้น เมื่อติดตามในระยะยาวมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับได้ หากไม่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ หรือการรักษาด้วยยา นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอีกด้วย

2.รู้ได้อย่างไรว่าโรคตับคั่งไขมันที่มีนั้นจะเป็นกลุ่มเสี่ยงไปสู่โรคแทรกซ้อนต่างๆ

แพทย์มักตรวจหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นหรือพังผืดในตับที่หากเป็นรุนแรงและยาวนานจะนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้ ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวได้แก่ผู้ที่อ้วนลงพุง หรือผู้ที่มีโรคเบาหวานหรือมีดัชนีมวลกายเกินกว่า 28 กก./ตร.ม. (นำน้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลังสอง) หรือผู้ที่มีผลตรวจเลือดค่าการทำงานตับที่มีอัตราส่วนของ SGOT/SGPT สูงเกินกว่า 1 ก็อาจช่วยบ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะพังผืดตับได้

3.องค์ประกอบของภาวะอ้วนลงพุงนั้นมีอะไรบ้าง

ผู้ที่อ้วนลงพุง มักมีองค์ประกอบ ตามเกณฑ์ของคนเอเชียคือมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย 90 ซม. (36 นิ้ว) ในผู้ชาย หรืออย่างน้อย 80 ซม. (32 นิ้ว) ในผู้หญิง ร่วมกับเกณฑ์ 2 ข้อจาก 4 ข้อต่อไปนี้

1.ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเกินกว่า 150 มก./ดล.

2.ระดับ HDL-Cholesterol หรือไขมันคอเลสเตอรอลตัวดีต่ำกว่า 40 มก./ดล. ในผู้ชายหรือต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

3.มีความดันเลือดสูง ตั้งแต่ 130/85 มม.ปรอทขึ้นไป หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงที่รับยารักษาอยู่

4.ระดับน้ำตาลตอนเช้า (อดอาหาร) สูงตั้งแต่ 100 มก./ดล. หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน

4.มีวิธีตรวจที่เป็นมาตรฐานเพื่อประเมินว่ามีปริมาณไขมันในตับและมีพังผืดตับหรือไม่ อย่างไร

วิธีตรวจมาตรฐานคือการตรวจชิ้นเนื้อตับด้วยการเจาะตับ ช่วยประเมินว่ามีปริมาณไขมันในตับเกินกว่า 5% ของเซลล์ตับ และ/หรือมีพังผืดในตับมากน้อยเพียงใด  แต่ผู้ป่วยมักกังวลกับภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันมีวิธีทางเลือกที่ช่วยตรวจหาพังผืดในตับโดยไม่ต้องเจาะตับ เช่น เครื่องวัดความยืดหยุ่นของตับหรือมีชื่อว่า Transient Elastography (FibroScanR) ที่มีหลักการของเครื่องมือส่งคลื่นความถี่ต่ำผ่านบริเวณสีข้างลำตัวด้านขวาตัดกับแนวลิ้นปี่โดยให้ผู้ป่วยนอนหงาย (รูปที่ 1) คลื่นดังกล่าวปลอดภัยคล้ายที่ใช้ในเครื่องอัลตราซาวด์และวัดความยืดหยุ่นของตับได้เสร็จในเวลา 5-10 นาที ผู้ป่วยต้องงดอาหารก่อนตรวจ 2-4 ชม. ผลตรวจสามารถให้ข้อมูลทั้งระดับความรุนแรงของพังผืดตับและปริมาณไขมันในตับที่มี และมีบริการตรวจได้ในโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง แต่ข้อจำกัดคือยังไม่มีใช้แพร่หลายและค่าที่วัดได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้โดยเฉพาะในคนที่อ้วนมากๆ เช่น มีดัชนีมวลกายเกินกว่า 30 กก./ตร.ม. การเลือกตรวจด้วยเครื่องมือนี้ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อตับแข็งดังกล่าวจะช่วยวินิจฉัยและวางแผนการรักษาผู้ป่วยได้ดีขึ้น

5.เป้าหมายของการรักษาโรคตับคั่งไขมันมีอะไรบ้าง?

จุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้ คือ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ โดยหลักการคือต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตประจำวันโดยการลดน้ำหนักอย่างน้อยร้อยละ 7-10 ทั้งนี้ ควรดูแลทั้งเรื่องการควบคุมปริมาณพลังงานที่ได้รับจากการรับประทานโดยลดให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานจากการดื่มกาแฟเย็นที่หวานเข้มข้นหรือน้ำผลไม้ 500 มล.ประมาณ 1 แก้ว เป็นต้น โดยต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันตับส่วนเกินออกไปด้วย  นอกจากนี้การควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  ไขมันในเลือดสูงก็ช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วย

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025