posttoday

จำคุกขบวนการค้ามนุษย์ บทพิสูจน์ไทยเอาจริง สานต่ออย่าให้หยุด

22 กรกฎาคม 2560

"เป็นสัญญาณบวกกับนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์ในไทย มันทำให้เห็นว่าไม่ว่าใคร ใหญ่แค่ไหน มีตำแหน่งหรืออิทธิพลอย่างไร หากทำผิดอาชญากรรมในการค้ามนุษย์ก็ต้องโดนโทษไม่มีข้อยกเว้น"

โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ

คำพิพากษาจำคุก 27 ปี พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และอดีตผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนแยกที่ 1 ระนอง จำเลยในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา นับว่าบ่งบอกถึงมติการตีกรอบจัดการปัญหาการค้ามนุษย์ของเมืองไทยได้ไม่น้อย

พล.ท.มนัส หรือ "บิ๊กแป้น" เป็นแม่ทัพนายกองอีกคนที่ต้องยอมรับ กับความผิดที่ได้ก่อ เพราะเงินจำนวนกว่า 14 ล้านบาท ถูกถ่ายโอนจากขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาในพื้นที่ภาคใต้ แม้ว่า พล.ท.มนัส จะชี้แจงว่า เงินจำนวนดังกล่าวมาจากการแข่งขันวัวชน แต่ไม่อาจหาพยานหลักฐานมาลบล้างหลักฐานของเจ้าหน้าที่ที่จะเอาผิดเขาได้

คดีประวัติศาสตร์ที่ถูกจับตา มองจากสังคมโลกในครั้งนี้ โดยเฉพาะสหรัฐที่มองว่าไทยไม่ได้จริงจังจะปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ แต่การตัดสินที่เอาบิ๊กทหารเข้าคุก คงมีนัยที่สำคัญไม่น้อย

สุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ แรงงานข้ามชาติ และคนพลัดถิ่น มองคดีนี้ในชั้นแรกว่า ความหวังในกระบวนการยุติธรรมได้บังเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะเป็นการลงโทษจำเลยกว่า 60 คน แม้จะมีบางส่วนที่หลักฐานไปไม่ถึงเพื่อเอาผิดได้ แต่ทิศทางของการให้ความสำคัญในคดีค้ามนุษย์ สังคมไทยได้เห็นภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

"กระบวนการยุติธรรมยังคงทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ แม้ผู้ต้องหาบางคนจะมีตำแหน่งชั้นยศที่เป็นถึงนายทหารระดับสูงก็ตาม" สุรพงษ์ เน้นย้ำ

แต่กระนั้น สิ่งที่จำเป็นตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ในแนวคิดของสุรพงษ์ คือ การเดินหน้าจัดการปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ให้สิ้นซากออกไปจากประเทศไทยต่อไป และรัฐบาลก็ไม่ควรจะหยุดนิ่งกับผลงานชิ้นเดียวที่เป็นคดีประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ หากแต่ต้องเข้มงวดกับการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

สุรพงษ์ ให้ภาพว่า จำนวนผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา จำนวน 103 คน ยังไม่ใช่จุดจบของขบวนการ และรัฐไม่อาจคิดได้ว่า การค้ามนุษย์นั้นหมดไปแล้ว เพราะหากยังคงมีความคิดเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าการแก้ไขปัญหาไม่ได้เดินหน้า แม้ว่าคดีดังกล่าวผลการตัดสินจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยถูกยกระดับให้น่าเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในสายตาโลกก็ตาม แต่อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายขบวนการที่หากินกับลมหายใจของผู้คนอยู่ในขณะนี้

"ขบวนการค้ามนุษย์ยังไม่ได้หมดไป ทั้งชาวโรฮีนจา ชาวอุยกูร์ หรือแม้แต่ชาวปาเลสไตน์ที่หนีภัยสงคราม มันยังคงอยู่ เพียงแต่ลดจำนวนลงเท่านั้น หากรัฐบาลพอใจกับการแก้ปัญหาเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เดินหน้าแก้ไขอย่างจริงจัง" สุรพงษ์ ให้ความเห็น

สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย คือ เรื่องของเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ ที่สุรพงษ์มองว่า รัฐยังไม่จริงจังในการเยียวยาเรื่องนี้ ทั้งการจัดการส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง การประสานงานระหว่างประเทศ ดูจะไม่ต่อเนื่องเท่าใดนัก รวมถึงการประสานเพื่อขอแรงกลุ่มประเทศที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งบังกลาเทศ เมียนมา ซึ่งเป็นประเทศต้นทางที่มีขบวนการค้ามนุษย์จัดส่งผู้คนออกมา

สอดรับกับความเห็นของ สุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กร Human Rights Watch แห่งประเทศไทย ที่มองว่า คดีนี้ถือว่าได้รับทิศทางบวกจากนานาชาติ และสามารถตอบโจทย์ รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือทิปรีพอร์ต ของสหรัฐที่เคยมองปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยว่า รัฐบาลไม่จริงจังกับการดำเนินคดีเอาผิดลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ได้ และโทษของ พล.ท.มนัส ที่ศาลได้ตัดสินไป ก็ตอบคำถามเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

"เป็นสัญญาณบวกกับนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศไทย มันทำให้เห็นว่าไม่ว่าใคร ใหญ่แค่ไหน มีตำแหน่งหรืออิทธิพลอย่างไร หากทำผิดอาชญากรรมในการค้ามนุษย์ก็ต้องโดนโทษอย่างไม่มีข้อยกเว้น และผลจากตรงนี้ทำให้เห็นภาพว่ารัฐบาลจริงจังกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์" สุนัย ย้ำ

สุนัย ตั้งความหวังว่า รัฐบาลจะประกาศอย่างชัดเจนตามมาว่าจะเดินหน้ากวาดล้างในทุกๆ ขบวนการค้ามนุษย์ของประเทศไทยทันที ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลควรจะรับลูกต่อจากคำชื่นชมของนานาชาติ ซึ่งจะช่วยให้การยอมรับอย่างมากขึ้นต่อการจัดการแก้ไขปัญหา

แม้ผลการจับกุมจะเห็นผลเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่จุดอ่อนยังคงมีอยู่ ซึ่งสุนัย มองว่า ในทุกวันนี้ยังคงมีชาวโรฮีนจาถูกคุมขังอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศนับหลายพันคน ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ดูแลอย่างดีเท่าใดนัก เพราะเมื่อไปช่วยเขาออกมา กลับนำเขามาขังซ้ำอีก เหมือนเป็นการลงโทษพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สุนัย วิพากษ์ถึงจุดอ่อนนี้ว่า รัฐบาลไทยควรให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR เข้ามาช่วยเหลือดูแลชาวโรฮีนจากกลุ่มนี้ ซึ่งมีแต่ประโยชน์ทั้งนั้น เพราะการเอาชาวโรฮีนจามาคุมขังไว้ก็สิ้นเปลืองงบประมาณของชาติ แต่หากให้ UNHCR ซึ่งมีงบประมาณเข้ามาจัดการ ก็จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้กับรัฐบาลไทยด้วย

บรรยายภาพ - ภาพพิมพ์แกะไม้ โดยศิลปินแถวหน้าชื่อ ประสาท นิรันดรประเสริฐ บอกเล่า เรื่องราวของชาวโรฮีนจา ชนกลุ่มน้อยในเมียนมาที่ถูกผลักดันให้ต้องอพยพออกจากประเทศถิ่นกำเนิด

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"