แค้นรักฝัง hi5 เปิดศึกจากหน้าจอสู่ชีวิตจริง
ไม่รู้ว่าเด็กสาววัยรุ่นสมัยนี้ไปดูหนังดูละครเรื่องอะไรกันมาถึงชอบท้าตีท้าตบกันนัก ถ้าไม่เหม็นขี้หน้าก็แย่งผู้ชายกัน
ไม่รู้ว่าเด็กสาววัยรุ่นสมัยนี้ไปดูหนังดูละครเรื่องอะไรกันมาถึงชอบท้าตีท้าตบกันนัก ถ้าไม่เหม็นขี้หน้าก็แย่งผู้ชายกัน
โดย...ธนก บังผล
เพียงแต่ละครในชีวิตจริงที่เห็นเด็กทะเลาะกันนี้ ใช้โปรแกรม “ไฮไฟว์” เป็นที่ระบายอารมณ์และนัดวิวาท แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือเหตุการณ์นี้ถึงขั้นนองเลือดกันในโรงเรียน
น.ส.บี หนึ่งในผู้ร่วมศึกรักแสนโหด เล่าว่า ตอนเช้าก่อนเกิดเหตุ ระหว่างกำลังยืนถ่ายรูปหมู่ของนักเรียนชั้น ม.3 ในโอกาสจบการศึกษา ที่สนามฟุตบอลโรงเรียน เธอกับเพื่อนๆ เห็น น.ส.มิ้นท์ ผู้ก่อเหตุสยองยืนอยู่แถวๆ นั้น เลยพากันไปถามถึงการเข้าไปโพสต์ด่าพวกเธอในเว็บไฮไฟว์...เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องแย่งผู้ชายนี้มันปรี๊ดเหลือจะทน
ทว่า น.ส.มิ้นท์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามจึงเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ ก่อนจะมีการแยกย้าย แต่เลือดร้อนของสาววัย 15 ยังคงคุกรุ่น
หลังจากนั้นพวกเธอก็พากันไปเข้าห้องน้ำล้างมือที่อาคารพลศึกษา และคราวนี้ก็เกิดการประจันหน้ากับกลุ่ม น.ส.มิ้นท์ อีกคำรบ กะอีแค่โต้เถียงดูเหมือนว่าจะยืดยาวไปไม่ทันใจวัยรุ่น สบโอกาสอย่างนี้ต้องตบ ตบ ตบ ระหว่างตบ น.ส.มิ้นท์ ก็ชักมีดออกมาแทง น.ส.จิ๊บ เข้าไปที่หน้าอกหนึ่งดอก
ทรุดสิครับ ทรุดทันทีไม่เป็นท่า โดย น.ส.น้อง น.ส.กุ้ง และ น.ส.บี เมื่อเห็นเพื่อนถูกมีดเสียบอก ก็ได้รีบเข้าไปช่วยเหลือ จนถูกคมมีดบาดที่แขนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยคนละแผลสองแผลไปด้วย
นี่ถ้าอาจารย์ไม่มาพบเพื่อยุติสมรภูมิรักที่ต้องล้างด้วยเลือด ก็ไม่แน่ว่าจะมีใครได้รับรอยจารึกกลางอกอีกหรือไม่ ต่อมา น.ส.จิ๊บ ถูกหามส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ จึงเข้ามาดำเนินคดี
ส่วน น.ส.มิ้นท์ มือมีดยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ชุดนักเรียนเปื้อนเลือดและมีแผลที่มือซ้ายจากมีดบาดเลือดสาดเล็กน้อย
งานนี้ต้องใช้นักสังคมสงเคราะห์สอบปากคำอย่างละเอียด พร้อมกับดูอาการของเด็กนักเรียนที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลว่าสาหัสมากน้อยแค่ไหน ส่วนการดำเนินคดีนั้นก็เป็นไปตามปกติด้วยการแจ้งข้อหา
แต่เหตุนี้ก็เกิดทั้งๆ ที่โรงเรียนมีมาตรการป้องกันด้วยการตรวจค้นอาวุธที่ประตูทางเข้าทั้งสองด้าน เพราะมักมีนักเรียนพกอาวุธมาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ซึ่งที่ผ่านมาในโรงเรียนดังกล่าวก็ไม่เคยรุนแรงขนาดนี้
ในขณะที่มุมมองของ พญ.ศุภรัตน์ เอกอัศวิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นต่างกับกรณีที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง
“กรณีที่เด็กผู้หญิงไปใช้โปรแกรมไฮไฟว์แย่งผู้ชายแล้วเอามีดไปแทงกันนั้น ที่เกิดขึ้นอาจมองว่าเวลาที่ไปใช้โปรแกรมนี้แล้วอันตราย แต่หมอมองว่ากรณีนี้เป็นเรื่องความรุนแรง คือถ้าเข้าไปใช้ไฮไฟว์แล้วด่ากัน แต่ไม่ใช้มีด ไม่มีตบ อาจจะแค่ขัดใจตรงนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา คือไม่ได้จบด้วยความรุนแรง ก็เป็นช่วงวัยที่ไม่เลยเถิด อาจจะเขม่นกัน เลิกแล้วต่อกันเพราะงานยุ่ง การบ้านเยอะ แล้วเปลี่ยนโรงเรียน เหมือนสมัยที่เรายังเด็กๆ”
พญ.ศุภรัตน์ วิเคราะห์เป็น 2 ประเด็น คือ 1.มีการละเลยเด็กในโรงเรียน เพราะปัญหาการทะเลาะวิวาทในห้องน้ำนั้นเกิดขึ้นบ่อยมาก ถ้าครูรู้ว่าสุ่มเสี่ยงก็ควรมีครูเวรคอยเฝ้าระวัง
ประเด็นที่ 2 คือ ครอบครัว เนื่องจากเด็กที่จะเอามีดไปแทงคนอื่นได้นั้น เด็กทั่วไปไม่กล้าทำ ยกเว้นว่าเป็นเด็กที่เคยเห็นมาจนชินหรือเคยถูกกระทำ ซึ่งค่อนข้างเชื่อได้ว่าเด็กมาจากครอบครัวกลุ่มเสี่ยง เห็นความรุนแรงมาจนชิน
ทั้งนี้ พญ.ศุภรัตน์ วิเคราะห์ว่า เรื่องไฮไฟว์นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องโฟกัสประเด็นเดียวว่ามีการเข้าไปใช้ผิด เพราะเป็นสื่อสาธารณะที่ใครจะเข้าไปใช้ก็ได้ ไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง ใครจะเขียนอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นครอบครัวและสื่อควรจะทำให้เด็กนึกอยู่เสมอว่ามีคนเป็นล้านกำลังจ้องดูอยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่ในห้องส่วนตัวแล้วจะทำอะไรไม่เหมาะสมก็ได้
“นอกจากไฮไฟว์แล้วการลอกเลียนพฤติกรรมจากเกมซึ่งมีความรุนแรง หมอมองว่าเกมมันเสมือนจริงมาก โอกาสที่เด็กจะหยิบมาใช้ในชีวิตจริงก็มีสูง ถ้าอยู่กับเกมนั้นๆ เป็นวันๆ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างนั้นจนคุ้นเคยจนคิดว่ามันไม่เสียหายก็สามารถลอกเลียนพฤติกรรมได้”
“แต่ทั้งนี้ก็ต้องไปดูว่าเด็กที่จะใช้เวลากับเกมหลายๆ ชั่วโมงต่อวันได้นั้นก็คือเด็กกลุ่มเสี่ยง ที่เล่นเกมนานๆ ก็เหมือนยาเสพติด มีการเปลี่ยนแปลงของสมอง เหมือนทหารออกไปรบผ่านสงครามมา เขาก็จะไม่เหมือนกับเรา”
เพราะฉะนั้น ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในกรณีที่เด็กนักเรียนหญิงแย่งผู้ชายกันบนไฮไฟว์จนนำมาสู่เหตุสลดแทงกันในห้องน้ำ นอกจากไม่ควรละเลยการรับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ควรนำคำแนะนำของผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กฯ ไปคิดหาวิธีแก้ไขต่อไปด้วย


