เทพรัตนแห่งแผ่นดิน (102)
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดยส่วนพระองค์ทรงโปรดปรานการอ่านหนังสือและทรงปรารถนาให้พสกนิกรของพระองค์รักการอ่านหนังสือ
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดยส่วนพระองค์ทรงโปรดปรานการอ่านหนังสือและทรงปรารถนาให้พสกนิกรของพระองค์รักการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่า “หนังสือ” เป็นที่มาของแหล่งความรู้และวิทยาการทุกด้าน และทุกคนสามารถแสวงหาได้ง่าย ดังข้อความบางส่วนจากพระราชนิพนธ์ เรื่อง “ฉันชอบอ่านหนังสือ” ในหนังสือประจำปีโรงเรียนจิตรลดา 28 มี.ค. 2513 ความว่า
“...หนังสือเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ต่างๆ นักปราชญ์ในสมัยโบราณได้ใช้หนังสือบันทึกความรู้และความคิดเห็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ไว้เป็นสมบัติทอดมาถึงสมัยปัจจุบันเป็นอันมาก เช่น กฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น เพราะความรู้ของคนในสมัยโบราณนั้นเกิดจากการสังเกต เขาเหล่านั้นได้สังเกตความเป็นไปของโลก และจดจำข้อความต่างๆ ในแง่ความคิดเห็นของเขาไว้ คนสมัยต่อมาได้อ่านข้อความเหล่านั้นจะติดตามค้นคว้าเพิ่มเติม ทำให้ความรู้ของมนุษย์กว้างขวางยิ่งขึ้น...”
นอกจากนี้ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยวิชาการใช้ภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ดังปรากฏว่า พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองตั้งแต่พระชนมายุเพียง 12 พรรษา และทรงพระราชนิพนธ์เรื่อยมา กอปรกับพระนิสัยใฝ่แสวงหาความรู้ตลอดเวลา ดังภาพที่พสกนิกรชาวไทยมักพบเห็นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่างๆ อันเป็นพระราชจริยวัตรของพระองค์คือ การทรงสมุดบันทึกเหตุการณ์ ข้อมูล ความรู้ที่พระองค์ได้รับจากบุคคลทุกระดับ เพื่อจะทรงวิเคราะห์ วินิจฉัย และประมวลเป็นองค์ความรู้รวบยอดของพระองค์เอง แล้วทรงนำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไป ดังทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชกรณียกิจในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการเสด็จฯ ไปเยือนต่างประเทศ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จึงทรงมีพระราชนิพนธ์หลากหลายประเภททั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ และพระราชนิพนธ์แปลมากกว่า 100 เรื่อง ล้วนทรงคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ในแวดวงวรรณกรรม อันสะท้อนพระอัจฉริยภาพและแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศของพระองค์อย่างเห็นได้ชัด
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โปรดการอ่านและการเขียนหนังสือตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ ประกอบกับพระปรีชาด้านอักษรศาสตร์ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ และความเป็นปราชญ์ของพระองค์ที่เกิดจากพระนิสัยโปรดการอ่าน และโปรดการใฝ่แสวงหาความรู้หลากหลายด้านตลอดเวลา โดยพระองค์จะทรงบันทึกและพระราชนิพนธ์ถึงประสบการณ์และความรู้ที่ทรงรับทราบหรือทรงศึกษา ผ่านตัวอักษรอยู่เสมอ ดังบทกวีชื่อ “มุ่งไกลในรอยทราย” ในหนังสือรวมพระราชนิพนธ์ “กาลเวลาที่ผ่านเลย” ของพระองค์ ที่สะท้อนแนวพระราชดำริถึงความใฝ่พระราชหฤทัยขวนขวายความรู้และโปรดการนิพนธ์ ความว่า
แม้อีกสักร้อยปี ฉันยังไม่มีเวลา
พอเยือนเยี่ยมโลกา ทั่วขอบฟ้าท่องเที่ยวไป
ถึงวิ่งเร่งรีบรุด ถ้าไม่สุดลมหายใจ
อยากเห็นทุกสิ่งใน พื้นแหล่งหล้าจักรวาล
เปิดดวงใจให้กว้าง รับทุกอย่างอย่างเบิกบาน
เปิดหูตานานนาน เพื่อค้นคิดสัจธรรม
และเพื่อจะรักยิ่ง รักรู้จริงรักจะจำ
ด้วยรักร้อยถ้อยคำ เป็นลำนำจวบร้อยปี
พระองค์ทรงเริ่มหัดแต่งโคลงกลอนตั้งแต่ทรงศึกษาในระดับประถมศึกษา และทรงพระราชนิพนธ์คำกลอนบทหนึ่งไว้ในตอนจบของบทความเรื่อง “ฉันชอบอ่านหนังสือ” เมื่อปี 2510 ขณะพระชนมายุเพียง 12 พรรษา พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือประจำโรงเรียนจิตรลดา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2513 ดังนี้
หนังสือนี้มีมากมายหลายชนิด นำดวงจิตเริงรื่นชื่นสดใส
ให้ความรู้สำเริงบันเทิงใจ ฉันจึงใฝ่ใจสมานอ่านทุกวัน
มีวิชาหลายอย่างต่างจำพวก ล้วนสะดวกค้นได้ให้สุขสันต์
วิชาการสรรมาสารพัน ชั่วชีวันฉันอ่านได้ไม่เบื่อเลย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประกายแห่งนักประพันธ์ได้ฉายแสงผ่านพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทกวีที่ทรงพระปรีชาชาญ ทรงประพันธ์ได้ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์กลอน และร่าย โดยทรงพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพได้ดียิ่ง ลีลาโคลงงดงาม ไพเราะ เปี่ยมด้วยสุนทรียะและเนื้อหาสาระ ดังเห็นได้จากพระนิพนธ์ร้อยกรองอาทิ “อยุธยา” (ปี 2514) “กษัตริยานุสรณ์” (ปี 2516)“พุทธศาสนสุภาษิตคำโคลง” (ปี 2517) และ “แดนดินถิ่นหมอก”(ปี 2521)
พระปรีชาสามารถนี้ฉายเด่นชัดยิ่งขึ้นในพระราชนิพนธ์ “ฉันท์ดุษฎีสังเวยสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เพื่อให้พระครูพราหมณ์และศิลปินกรมศิลปากรอ่านประกอบการแสดงซอสามสายสดุดีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในการเลี้ยงพระและเวียนเทียนสมโภชพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เนื่องในพระราชพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันอังคารที่ 6 เม.ย. 2525 โดยพระองค์ทรงเปลี่ยนวิธีการแต่งจากแบบโบราณที่ใช้ขนบของพราหมณ์ให้ทันสมัยและมีเหตุผลมากขึ้น เช่น เดิมมักเขียนว่าผีสางเทวดาช่วยคุ้มครองดูแลบ้านเมือง ทรงเปลี่ยนเป็นพระพุทธคุณ และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ต่อประชาชน รวมถึงความสามัคคีของคนในชาติ ช่วยให้ไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ และรักษาบ้านเมืองไว้ได้


