"มุ่งขายสมาชิก-ใช้เทรนเนอร์หารายได้" ถอดบทเรียนธุรกิจ เมื่อ "ฟิตเนส" ไปไม่รอด
เจาะลึกธุรกิจฟิตเนสเมืองไทยจากปากผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด อะไรคือปัจจัยความล้มเหลวและความสำเร็จของธุรกิจประเภทนี้
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ภาพหนุ่มสาวคนเมืองสวมชุดสปอร์ตสีสันสดใส กำลังวิ่งบนลู่ไฟฟ้า ปั่นจักรยาน เวทเทรนนิ่ง คาดิโอ ตลอดจนเต้นซุมบ้า ภายในสถานบริการฟิตเนสเซ็นเตอร์กลายเป็นภาพคุ้นตาในปัจจุบัน
ทว่าท่ามกลางกระแสรักสุขภาพของคนเมือง อีกด้านหนึ่งกลับมาพร้อมกับความล้มเหลวของธุรกิจฟิตเนส ไล่ตั้งแต่ แคลิฟอร์เนีย ว้าว เมื่อปี 2556 และล่าสุด ทรูฟิตเนส ที่ปิดให้บริการกระทันหัน หลังจากขาดทุนสะสมต่อเนื่องหลายปี คิดเป็นเงินรวมกว่า 70 ล้านบาท
นาทีนี้ สาเหตุความล้มเหลวในธุรกิจฟิตเนสเมืองไทย กำลังเป็นกลายคำถามที่น่าสนใจ..
มุ่งขายสมาชิก ใช้เทรนเนอร์แบกธุรกิจ เส้นทางความล้มเหลว
ภายหลังการหยุดให้บริการของทรูฟิตเนส มีการเปิดเผยบัญชีรายรับ-รายจ่ายของบริษัทพบว่า ขาดทุนถึง 3 ปีติดต่อกัน โดยปี 2556 ขาดทุน 9.8 ล้านบาท ปี 2557 ขาดทุน 11.65 ล้านบาท และปี 2558 ขาดทุน 49.65 ล้านบาท “กลุ่มทรูกรุ๊ป สิงคโปร์” บริษัทแม่ “ทรูฟิตเนส” ร่อนแถลงการณ์ชี้แจงว่า การปิดกิจการ เกิดจากสภาวะการแข่งขันอันท้าทาย โดยเฉพาะค่าเช่าสถานที่ที่สูงมาก แม้จะพยายามฟื้นฟูกิจการหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับความยืดหยุ่นเพียงพอจากเจ้าของสถานที่และเจ้าหนี้
ธีศิษฎ์ ธนะทักษ์ ผู้ประกอบการฟิตเนสขนาด 1,700 ตารางเมตร ฉายภาพให้ฟังว่า ปัจจัยพื้นฐานในการทำธุรกิจฟิตเนส คือ ทำเลที่ตั้ง ขนาดของพื้นที่ ค่าเช่าและค่าบริหารจัดการ ทั้งหมดเป็นต้นทุนคงที่ในการกำหนดรายได้ของบริษัท
“ค่าเช่าสถานที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าบริหารจัดการอื่นๆ ฟิตเนสใหญ่ ตามห้างดังหรือพื้นที่ใจกลางกรุง มีค่าใช้จ่ายตายตัวอยู่ราวๆ 4.5 แสนบาทโดยประมาณ เนื่องจากค่าเช่าที่ค่อนข้างแพง ถ้าบริหารงานได้ต่ำกว่าก็เท่ากับเจ๊ง”
สำหรับรายได้หลักของฟิตเนสมาจากสองส่วนสำคัญคือ
1.ค่าสมาชิก
หลายฟิตเนสพยายามผูกมัดลูกค้าด้วยความพยายามขายในลักษณะรายเดือน รายปี หรือตลอดชีพ พร้อมกับกำหนดให้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเท่านั้น อย่างไรก็ตามค่าสมาชิกอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดของฟิตเนสได้
2.ค่าเทรนเนอร์
ค่าเทรนเนอร์เป็นรายได้สำคัญของฟิตเนส จะเห็นว่า มีความพยายามขายในจำนวนชั่วโมงและราคาที่สูงมาก เช่น 60 ชั่วโมงในราคา 4-5 หมื่นบาท ซึ่งผู้ออกกำลังกายตัวจริงจะทราบดีว่าเป็นการขายชั่วโมงล่วงหน้าที่กินเวลายาวนานเกินไป สาเหตุเป็นเพราะฟิตเนสต้องการเงินก้อนใหญ่ไปบริหารดำเนินงาน โดยสัดส่วนรายได้ของเทรนเนอร์ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างเทรนเนอร์กับฟิตเนส บางแห่งเลือกจ้างเทรนเนอร์ลักษณะฟรีแลนซ์ ขณะที่บางแห่งเลือกจ้างประจำ
“เทรนเนอร์บางแห่งถูกกำหนดให้ทำยอด ถ้าเทรนไม่ถึง 100 ชั่วโมง จะได้แค่ค่าเทรนเพียงชั่วโมงละ 100 บาท หรือ 150 บาท ถ้าเกิน 100 ชั่วโมงอาจได้ถึง 250 บาท แล้วแต่ตกลง เป็นเหตุผลว่าทำไมฟิตเนส หลายแห่งถึงพยายามขายเทรนเนอร์กันจนลูกค้ารำคาญ”
ธีศิษฎ์ บอกว่า การทำธุรกิจฟิตเนสโดยให้เทรนเนอร์เป็นผู้แบกรับภาระในการหารายได้เป็นหลักถือเป็นวงจรอุบาทว์และเส้นทางสู่ความล้มเหลว
“สมมติเทรนเนอร์คนหนึ่งทำยอดขายให้ฟิตเนสในเดือนนี้ได้ 3 แสนบาท จากสมาชิก 50 คน คำถามคือเดือนหน้าเขาจะทำแบบนี้ได้อีกไหม ? เงินที่เก็บมาก็ถูกนำใช้ในระบบหมดแล้ว เดือนหน้าต้องพยายามหาใหม่ ปัญหาคือคนที่สมัครไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วยังเทรนไม่หมดเลย ของเก่ารับไว้จำนวนมาก จะหาใหม่อีกแล้ว
ที่สำคัญคือเทรนเนอร์บางคนยังต้องมานั่งโทรตามลูกค้าให้เข้ามาเทรน เพราะเงินก้อนที่ขายได้เข้าไปอยู่กับเจ้าของฟิตเนส พวกเขาจะได้รับก็ต่อเมื่อมีการเทรนเกิดขึ้นจริง”
ผู้ประกอบการรายนี้ ชี้ว่า การหาเงินไปจุนเจือค่าเช่า ค่าดำเนินการพื้นฐานในลักษณะดังกล่าว นำไปสู่ความเบื่อหน่ายของลูกค้า จนกระทั่งเริ่มมองหาสถานที่ออกกำลังกายแห่งใหม่ที่ผุดขึ้นมากมายในปัจจุบัน
“ออกกำลังกายเสร็จกว่าจะเดินออกจากสถานที่ได้ต้องโดนยื้ออยู่พัก ขายโน่นนี่นั่น คนเริ่มรู้สึกแย่ เริ่มมองหาที่ใหม่ ตัวเลือกสมัยนี้เยอะ ไม่มีสัญญาผูกมัด ทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น”
สัญญาณความล้มเหลวของฟิตเนสที่ทุกคนควรทราบเอาไว้ก็คือ การเริ่มเก็บค่าสมาชิกในการราคาถูกลง ขายคอร์สตลอดชีพ และมีโปรโมชั่นสิทธิประโยชน์มากมาย เพื่อสร้างแรงจูงใจในการสมัคร
“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ฟิตเนส ค่าเช่าที่แพงๆ บนห้างสรรพสินค้าหรือใจกลางเมือง เดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายประจำ 4-5 แสน อยู่ๆ ประกาศลดค่าสมัครสมาชิกรายปีเหลือหมื่นกว่าบาทจากปกติ 2-3 หมื่น หรือตลอดชีพเพียงแค่ 2 หมื่น พาเพื่อนมาเล่นฟรีได้อีก 5 คน แบบนี้มันเป็นการโกยเงินให้ได้มากที่สุดก่อนจะบินหนีแล้ว”
รักษาลูกค้าเก่า กลยุทธ์สำคัญกว่าการหาใหม่
“พฤติกรรมของคนไทยไม่เหมือนฝรั่ง ต่อให้เป็นคนเมือง พวกเขาก็สามารถออกกำลังกายได้ในสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่สวนสาธารณะไปจนกระทั่งเตะตะกร้อหลังโรงงาน ฟิตเนสเมืองไทยจึงไม่ได้เติบโตในลักษณะบูมสุดขีดเหมือนต่างประเทศ” เสียงจาก วีรพล สวรรค์พิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
เขาบอกว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจฟิตเนสล้มเหลวคือ ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย จนนำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรง เกิดการไขว่คว้าหาลูกค้าใหม่ของแบรนด์ต่างๆ มากขึ้น
“เดินตามห้างจะมีคนมาแจกโบชัวร์ ไปที่ไหนก็มีแต่คนเดินเข้ามาบอก สนใจไหมไหมคะ สนใจไหมครับ”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเห็นว่า แท้จริงแล้วกลยุทธ์สำคัญต่อความยั่งยืนคือ การรักษาลูกค้าเก่า สร้างความประทับใจด้วยอุปกรณ์เครื่องเล่น คลาสออกกำลังกาย ตลอดจนสังคมภายใน เพื่อให้เกิดความรู้สึกคุ้มค่ากับการบริการมากที่สุด จนไม่คิดอยากเริ่มต้นใหม่ที่ไหน โดยตัวเลขทางวิชาการชี้ว่าการรักษาลูกค้าเก่านั้นมีต้นทุนที่ถูกกว่าการออกไปหาลูกค้าใหม่ถึง 5 เท่า
“หาลูกค้าใหม่คุณต้องจ้างพนักงาน เปิดบูทตามห้างต่างๆ โฆษณาหลากหลายช่องทาง ขึ้นบิลบอร์ด ลงหนังสือ ค่าใช้จ่ายสูง แต่การรักษาลูกค้าเก่าแค่บริการดี ใส่ใจ สร้างสังคมที่ดีให้เกิดขึ้นในสถานที่ มันใช้ต้นทุนต่ำกว่า หลายๆ เเห่งล้มเหลว ไม่ดูแลจุดนี้ มัวแต่มุ่งไปหาลูกค้าใหม่จนเกิดอัตรายกเลิกสมาชิกสูง”
อีกเรื่องสำคัญที่วีรพลเห็นว่า ไม่ควรละเลยก็คือ พฤติกรรมการเลือกเข้าฟิตเนสของคนเมือง ที่ต้องการความแปลกใหม่ของการออกกำลังกายมากขึ้นกว่าในอดีต เพียงแค่อุปกรณ์พื้นฐานอาจไม่เพียงพอต่อการดึงดูดลูกค้าอีกแล้ว
“เทรนด์เริ่มไปทางฟิตเนสที่เป็นลักษณะเฉพาะทางมากขึ้น เช่น พิลาทิส (Pilates) โพลแด๊นซ์ (Pole Dance) ไต่เชือกหรือว่าวิ่งในน้ำ พูดง่ายๆ ว่ามีการรูปแบบการออกกำลังกายมากขึ้น ทำให้ฟิตเนสแบบเดิมๆ ไม่น่าดึงดูด ไม่รู้จะฝ่ารถติดไปเล่นทำไม ถ้ามีเพียงแค่สิ่งของพื้นฐาน เก็บเงินซื้อไว้เล่นเองที่บ้านดีกว่า”
ทั้งนี้แหล่งข่าวระบุว่า ปัจจุบันทั่วประเทศไทยมีผู้ประกอบธุรกิจฟิตเนสรายเล็ก และใหญ่รวมกันไม่น้อยกว่า 480 แห่ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาลงทุนเปิดฟิตเนสขนาดเล็กใช้งบลงทุนไม่สูงและที่ใช้พื้นที่ไม่มาก ราว 300 ตร.ม. ตามตึกแถว อพาร์ตเมนท์ คอนโดมิเนียม เเละย่านชุมชน มีอุปกรณ์ออกกำลังกายพื้นฐาน และคิดอัตราค่าบริการต่ำเพื่อจับกลุ่มลูกค้าในบริเวณใกล้เคียง
สำหรับกรุงเทพฯ ยังมีโอกาสจะเติบโตได้อีก เนื่องจากมีจำนวนประชากรหนาแน่น และลูกค้าส่วนใหญ่เน้นเรื่องการเดินทางมาใช้บริการ จึงมักจะเลือกเล่นฟิตเนสใกล้ที่ทำงานหรือใกล้บ้านเป็นหลัก ที่สำคัญกระเเสการออกกำลังของเหล่าศิลปินดาราก็ช่วยหล่อเลี้ยงกระเเสให้เดินต่อไป
เลือกฟิตเนสที่ใช่
องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ระบุ ข้อแนะนำในการเลือกสถานให้บริการออกกำลังกายดังนี้
1.ผู้ให้บริการ
ผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะเป็นนิติบุคคล จึงควรตรวจสอบรายที่มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการซึ่งมุ่งเน้นการออกกำลังกายเป็นหลัก โดยไม่มีการขายสินค้าอื่นแอบแฝง
สถานภาพของผู้ให้บริการ ไม่ควรมีหนี้สินมากเกิน และไม่ควรมีผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง
ไม่สามารถเชื่อถือชื่อเสียงของผู้ให้บริการที่มีสาขาจากต่างประเทศได้เสมอไป
ควรดูระยะเวลาที่ผู้ให้บริการรายนั้นได้ดำเนินกิจการมาเพื่อประกอบการตัดสินใจ
สะดวกต่อการเดินทาง คำนึงถึงที่จอดรถและค่าจอดรถ
สาขาที่เปิดให้บริการ ควรมีทางเลือกให้สามารถเข้ารับบริการได้มากกว่าจุดเดียว
ช่วงเวลาการเปิดให้บริการ ควรมีทางเลือกที่หลากหลาย เลือกใช้ได้ตลอดทั้งวัน
ขนาดของสถานที่กับปริมาณสมาชิกที่เข้าใช้บริการควรมีสัดส่วนที่เหมาะสม ไม่หนาแน่นเกินไป
สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย และความสะอาดควรมีการให้บริการห้องล็อกเกอร์, ห้องน้ำ, ห้องอาบน้ำ, อุปกรณ์ สบู่ แชมพู ผ้าเช็ดตัว โดยจัดให้มีพนักงานคอยตรวจสอบดูแลให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้
ระบบปรับอากาศ และระบายอากาศควรสมดุลกับปริมาณสมาชิกที่กำลังออกกำลังกาย
แยกสัดส่วนการออกกำลังกายประเภทต่างๆ ให้ชัดเจน บรรยากาศแสงและเสียงส่งเสริมกับการออกกำลังกายประเภทนั้นๆ
3. อุปกรณ์ออกกำลังกาย
อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ผู้ให้บริการจัดไว้ให้ควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ พร้อมใช้งานตลอดเวลา
อุปกรณ์ฯ มีความหลากหลาย
ควรมีพนักงานแนะนำการใช้งานอุปกรณ์ฯ โดยที่ไม่หวังผลจากการขายชั่วโมงฝึก หรือควรมีภาพอธิบายประกอบการใช้
ควรมีชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากการใช้อุปกรณ์ฯ
4. ผู้ฝึกสอนส่วนบุคคล และโปรแกรมการฝึก
เนื่องจากสถานให้บริการออกกำลังกายส่วนใหญ่มักไม่เคร่งครัดและไม่มีข้อกำหนดในการรับผู้ฝึกสอนเข้าปฏิบัติงาน จึงควรเลือกสถานให้บริการออกกำลังกายที่มีมาตรฐาน โดยผู้ฝึกสอนควรได้ผ่านการเรียนในการออกกำลังกายประเภทที่สอนมาอย่างถูกวิธี เช่น ได้รับประกาศนียบัตรรับรอง
ผู้ฝึกสอนควรให้บริการเฉพาะการฝึกเพียงอย่างเดียว กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ไม่ควรมีหน้าที่ในการขายชั่วโมงฝึกด้วย
ผู้ฝึกต้องสามารถให้บริการตามโปรแกรมที่กำหนด และต้องไม่รับฝึกผู้อื่นทับซ้อนในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนั้นควรการประเมินผลการฝึกสอนของผู้ฝึกสอนอย่างเป็นระบบ
การฝึกออกกำลังกายแบบกลุ่ม (Group Exercise) ควรมีชั้นเรียนที่หลากหลายไว้บริการ
5. อัตราค่าให้บริการที่เหมาะสม
ค่าผู้ฝึกสอนส่วนบุคคลนั้นยังไม่ปรากฏข้อจำกัดที่ชัดเจน โดยแตกต่างกันไป อาทิ ค่าฝึกการออกกำลังกายประเภทยกน้ำหนัก และประเภท TRX ควรอยู่ระหว่าง 300 -700 บาท ต่อชั่วโมง ค่าฝึกออกกำลังกายประเภทโยคะ และพิลาทิส (Pelates) ควรอยู่ระหว่าง 500 –2500 บาท ต่อชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์ของผู้ฝึกสอน)
ไม่ควรซื้อชั่วโมงฝึกสะสมไว้มาก ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ฝึกสอนเป็นผู้ขายด้วย เพราะชั่วโมงฝึกมีวันหมดอายุ
ค่าฝึกการออกกำลังกายกลุ่ม บางสถานประกอบการมักรวมอยู่ในค่าสมาชิก หรืออาจแยกจ่ายขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทฯ รายละเอียดที่ควรพิจารณาประกอบได้แก่ ประเภทของการออกกำลังกาย จำนวนคนในกลุ่มแต่ละครั้ง ราคาต่อครั้ง ต่อชั่วโมงไม่ควรมากไปกว่า 300 บาทในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์การฝึกประกอบ และถ้ากลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ค่าฝึกควรต้องลดลง
ถึงแม้จะมีความล้มเหลวของฟิตเนสให้ได้เห็น แต่อนาคตของวงการฟิตเนสเมืองไทยถูกคาดการณ์ว่าค่อนข้างสดใส โดยรายงานของ International Health Racquet & Sports Club Association ปี 2558 พบว่าสัดส่วนของประชากรไทยที่ใช้บริการฟิตเนสมีเพียง 0.6% ของประชากร ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับตัวเลขค่าเฉลี่ยของชาติในทวีปเอเชียที่ 8% เมื่อดูเทรนด์พฤติกรรมของคนไทยที่หันมาดูแลสุขภาพร่างกาย และรูปร่างของตนเองแล้ว ธุรกิจฟิตเนสยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก
นอกจากหันมาดูแลสุขภาพตัวเองแล้ว ถึงเวลาหันกลับมาทบทวนและประเมินความคุ้มค่าในการเลือกฟิตเนสด้วย