อนุชิต อนุชิตานุกูล ร่วมคิดร่วมทำ ยกระดับประเทศ
ในช่วงที่ประเทศอยู่ระหว่างปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับการพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเก่า
โดย...พรสวรรค์ นันทะ
ในช่วงที่ประเทศอยู่ระหว่างปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับการพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเก่า การร่วมกันคิดและร่วมลงมือทำในแต่ละภาคส่วน ถือเป็นเรื่องจำเป็น การเพิกเฉยคิดว่าธุระไม่ใช่เป็นสิ่งไม่พึงกระทำ
อนุชิต อนุชิตานุกูล ประธานสายพัฒนาระบบงาน ธนาคารเกียรตินาคิน และที่ปรึกษาคณะทำงานแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (เนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์) ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีแนวคิดเช่นนี้
ปกติ อนุชิต จะได้โอกาสไปร่วมในเรื่องสำคัญๆ อยู่หลายงาน แม้ว่าจะอยู่เบื้องหลังและแทบไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนทำ หรืองานนั้นจะไม่ได้รับการชื่นชมก็ตาม แต่ขอเพียงเป็นงานที่ส่งผลดี เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมแล้ว เขาพร้อมจัดสรรเวลาเข้าไปร่วมทำอยู่เสมอ
และงานที่เขาได้ไปร่วมทำอย่างเต็มใจ คือการร่วมวางระบบ เนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์ ที่ได้รับการเอ่ยปากชักชวนจาก อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง
อนุชิต เล่าถึงความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการเข้าไปจัดทำโครงการนี้ว่า ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยก็ว่าได้ ดังนั้น แม้ว่าโครงการจะทำไม่ได้รวดเร็วมากมายตามแผน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องผิดหวัง
เพราะถือว่าคืบหน้ากว่าหลายเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตเช่น การเปลี่ยนจากเงินพดด้วงมาใช้ธนบัตร ซึ่งใช้เวลาร่วม 100 ปี เป็นต้น แต่เนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์ ผ่านไปปีกว่า ก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร เนื่องจากการจัดทำได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เป็นอย่างดี นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขและเริ่มวางโครงสร้างสิ่งต่างๆ ไว้รองรับบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตและเกิดการต่อยอดไปสู่อินโนเวชั่นต่างๆ ได้อีกมากมาย
เริ่มตั้งแต่ลดการใช้เงินสด ลดต้นทุนการทำธุรกิจ ลดค่าธรรมเนียมการบริการทางการเงินของประชาชน จากข้อมูลหากระบบสมบูรณ์เชื่อมต่อการหักชำระกันได้หมด ไม่ใช่เพียงแค่การร่วมมือจับกันเป็นคู่ๆ ทางธุรกิจเช่นปัจจุบัน มันจะช่วยลดค่าธรรมเนียมการหักชำระเงินที่เคยจ่ายให้กับระบบหักชำระเงินระหว่างประเทศได้ถึงปีละประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท/ปีเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปใครๆ ก็จะมาใช้โครงสร้างพื้นฐานของเนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์ ได้ ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ การเรียกดูบิล ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าสาธารณูปโภค และสั่งจ่ายเงินได้ เป็นต้น และหากระบบหักชำระเงินต่างๆ เชื่อมโยงกันได้หมด จะทำให้เศรษฐกิจมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นภายใต้ต้นทุนที่ถูกลง แข่งขันกับประเทศอื่นได้ เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์ มีแผนงานแบ่งเป็น 3 ส่วน โดยเฟสแรกมี 4 โครงการ คือ 1.ระบบรับและโอนเงินพร้อมเพย์ ซึ่งการเกิดเอนี่ ไอดี (Any ID) จะไม่ใช่แค่พร้อมเพย์ที่ผูกไอดีเป็นเบอร์โทรศัพท์มือถือหรือบัตรประชาชนเข้ากับบัญชีธนาคารเท่านั้น แต่ยังสามารถพัฒนาไปใช้ไอดีอื่นๆ ได้อีกในอนาคต เช่น อีเมล ไปรษณีย์ที่มีโพสต์ไอดี ที่ระบุตำแหน่งบ้านสามารถสั่งจ่ายเงินได้ทั่วประเทศ อี-วอลเล็ต อี-มันนี่ คิวอาร์โค้ด ฯลฯ
แนวทางนี้จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ลดปัญหาใหญ่ของการค้าออนไลน์ เรื่องผู้ขาย ขายสินค้าแล้วกลัวไม่ได้เงิน หรือผู้ซื้อจ่ายเงินไปแล้วกลัวไม่ได้สินค้า ที่สำคัญ เอนี่ ไอดี ยังทำให้เกิดการแข่งขันที่สมบูรณ์ขึ้นของระบบธนาคารพาณิชย์ เมื่อกลไกการแข่งขันสมบูรณ์ไม่ผูกขาดแค่บัญชีธนาคาร ประโยชน์สูงสุดก็จะเกิดต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภค
2.การขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ที่อยู่ระหว่างติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) ทั่วประเทศ ทำให้คนทั่วไปใช้จ่ายและชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยเฉพาะผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็มที่มีมากถึง 80.6 ล้านใบ
3.ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่หน่วยงานราชการอยู่ระหว่างจัดทำ และ 4.โครงการอี-เพย์เมนต์ภาครัฐ ที่จะทำให้การจ่ายเงินของภาครัฐเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยลดปัญหาการคอร์รัปชั่น และในอนาคตระบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ไทยมีปัญหามานานด้วย เพราะปัจจุบันถึงจะจ่ายค่าสินค้าและบริการเป็นอิเล็กทรอนิกส์ แต่ระบบการจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย ยังใช้เอกสารกระดาษ ทำให้ภาคธุรกิจมีภาระการนำส่งเงินภาษีที่ยังไม่เป็นอิเล็กทรอนิกส์อยู่ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ออกแบบและเตรียมการไว้หมดแล้ว แต่อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายประมาณ 22 มาตรา ในประมวลรัษฎากรเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้เท่านั้น
“ขอเพียงติดตั้งเครื่องอีดีซีได้หมด จะสามารถรับชำระเงินได้หมด คำสั่งถัดไปของกรมบัญชีกลางที่จะออกตามมา คือ การห้ามหน่วยงานราชการรับเงินสด ซึ่งจะช่วยให้ทุกอย่างโปร่งใสขึ้น ลดปัญหาการทุจริต เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่อยากจะแก้ไขโครงสร้าง” อนุชิต กล่าว
อนุชิต เล่าต่อว่า สำหรับเฟส 2 จะเป็นการจัดทำโครงสร้างด้านตลาดทุน ที่จะให้การจ่ายชำระเงินค่าหุ้นเปลี่ยนไป จาก T+3 ที่ไทยเคยใช้มาตั้งแต่เปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้เป็น T+2 ที่คาดว่าจะมีการดำเนินการได้ภายในปีนี้ รวมถึงโครงการเซตเทิลเมนต์ (Settlement) อีกหลายอย่าง เพราะถ้าไม่แก้ไขระบบให้ดีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตราสารอนุพันธ์ต่างๆ จะทำไม่ได้ เพราะการทำธุรกรรมเหล่านี้มาร์จิ้นน้อย ระบบที่รองรับจึงต้องดีและมีประสิทธิภาพสูง จึงเอื้อให้ธุรกรรมทางการเงินผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ เกิดตามมาและเดินต่อไปได้
นอกจากนี้ กองทุนต่างๆ ที่ทับซ้อนอยู่บนหุ้น ที่การจะทำสวิตชิ่ง เช่น จะขายกองทุนออกไปซื้อหุ้น ถ้าเราทำระบบเซตเทิลเมนต์ไม่ชนกันให้พอดี ระบบจะสะดุด ขายแล้วเงินมาไม่ทัน หลายๆ ธุรกรรมมันจะติดขัดเดินไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันระบบการหักชำระเงินของกองทุนยังไม่มีระบบเซตเทิลเมนต์กลาง ดังนั้น เฟส 2 จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน
ส่วนเฟส 3 เป็นเรื่องการค้า ที่จะทำให้การติดต่อ การชำระเงิน เป็นระบบสากล (International) ให้การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทำได้สะดวกขึ้น เพราะปัจจุบันเงินไหลเข้าออก ค้าขายกับต่างประเทศ การเสียภาษี การขอใบอนุญาต แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ระบบเซตเทิลฯลฯ ยังไม่มีระบบอะไรมารองรับ ทำให้อนาคตอาจเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่จะเติบโตไปในต่างประเทศ หรือทำให้ไทยเราเป็นศูนย์กลางการค้าในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (ซีแอลเอ็มวี) ได้ลำบาก ส่วนนี้จึงสำคัญไปไม่น้อยกว่ากัน
นอกจากการเข้าไปร่วมในโครงสร้างพื้นฐานของ เนชั่นแนล อี-เพย์เมนต์แล้ว อนุชิตยังตั้งใจไว้ว่า ในอนาคตจะเข้าไปร่วมทำอีกหลายเรื่อง ให้เกิดการพัฒนาไปพร้อมกันทุกภาคส่วน เช่น ด้านการศึกษา เขามีแนวคิดที่จะนำระบบเทคโนโลยีมาพัฒนานักเรียนนักศึกษา ให้ได้เรียนในสิ่งที่ขาดเพื่อให้เด็กพัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเองได้อย่างดี เรียนจบแล้วมีงานรองรับ ไม่ใช่เรียนจบแล้วมาตกงาน โดยให้ระบบจะแจ้งความต้องการบุคคลที่จะไปร่วมงานในด้านต่างๆ ให้เห็นได้ ทำให้เด็กสามารถมุ่งไปทำงานในด้านที่ชอบและมีงานรองรับได้
หรือการใช้เทคโนโลยีมาสร้างกลไกการแข่งขันเพื่อคัดคุณภาพครูเก่ง ให้ได้มีโอกาสสอนเด็กได้มากที่สุด เช่น สร้างระบบการสอนที่สามารถให้เด็กเข้าถึงได้ทั่วประเทศ แล้วให้เด็กโหวตว่า ชอบเรียนกับครูคนไหน และเมื่อรู้ว่าวิชาใดครูคนไหนมีนักเรียนชอบมีเด็กเข้าเรียนมาก ก็ต้องจ่ายผลตอบแทนที่สูงเพื่อรักษาครูเก่งคนนั้นไว้ หรือให้รัฐเลือกจ่ายเงินอุดหนุนได้เฉพาะครูเก่ง ส่วนครูที่ไม่เก่งก็ต้องถูกคัดออก
เช่นเดียวกัน ต้องสร้างระบบการคัดสรรโรงเรียนที่มีคุณภาพได้ด้วย หากโรงเรียนใดไม่ผ่านมาตรฐาน จำเป็นต้องปิดก็ต้องทำ เพื่อยกระดับการศึกษาให้ได้จริงๆ และปัจจุบันเป็นจังหวะเหมาะที่จะทำ เนื่องจากจำนวนเด็กลดน้อยลง ทำให้เกิดผลกระทบไม่มาก
นอกจากนี้ อนุชิตยังมีแนวคิดด้านการจัดการสุขภาพ ด้วยการจัดตั้งเมดิคอลบูโร เพื่อให้มีฐานข้อมูลในการรักษาคนไข้ การเบิกจ่ายยา ช่วยแก้ปัญหาจ่ายยาผิด แพ้ยาจนเสียชีวิต หรือการโกงประกัน รวมทั้งการลดปัญหาการทุจริตของข้าราชการในการใช้สิทธิรักษา ฯลฯ รวมถึงคิดจะจัดทำศูนย์ข้อมูลรถยนต์ (คาร์ บูโร) เพื่อให้รู้ประวัติรถ ให้รู้ว่ารถคันนี้เคยชน เคยเปลี่ยนอะไหล่หรือไม่ เปลี่ยนอะไหล่อะไร หรือรถเคยมีปัญหาไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบรถยนต์ลดปัญหาข้อพิพาท เป็นต้น
ดูเหมือนในหัวของ “อนุชิต” ยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องการจะไปลงมือทำ ไม่ใช่เพียงแค่คิด ก่อนที่เขาจะเกษียณตัวเองจากการทำงาน หรือก่อนจะหมดแรงทำงาน โดยเฉพาะการเข้าไปร่วมกันในงานเพื่อให้ทุกฝ่ายวิน-วินไปพร้อมๆ กันเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม


