posttoday

Thailand 4.0 กับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม

21 พฤษภาคม 2560

“Industry 4.0” และ “Thailand 4.0” กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ล่าสุดทราบว่าในเร็วๆ นี้

โดย...ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน   ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“Industry 4.0” และ “Thailand 4.0” กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ล่าสุดทราบว่าในเร็วๆ นี้จะมีการลงภาคสนามสำรวจโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย และประเมินระดับความสามารถของแต่ละโรงงานว่าอยู่ในระดับใด เป็นตัวเลข 1.0 จนถึง 4.0

แปลว่าในที่สุดตัวเลข 4.0 ในความหมาย “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” ของชาวยุโรป กำลังจะแปลงร่างเป็นการตัดเกรดประเมินระดับความสามารถของอุตสาหกรรมในไทย (ซึ่งไม่น่าจะมีประเทศไหนเขาทำกัน)

วันนี้จะชวนคุยเรื่องนี้ครับ

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในยุโรปช่วงปี ค.ศ. 1750-1850 เมื่อมีการริเริ่มนำถ่านหินมาใช้เป็นพลังงานแทนการใช้ถ่านไม้ ยุคนั้นการขุดถ่านหินในปริมาณมากประสบกับปัญหาน้ำท่วมเหมือง เมื่อมีการขุดลึกลงไปทำให้ต้องหาทางสูบน้ำออกจากเหมือง ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์เครื่องสูบน้ำพลังไอน้ำ ก่อนจะถูกนำไปใช้ต่อยอดเป็นเครื่องจักรประเภทอื่นๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม

รวมทั้งการพัฒนารถจักรไอน้ำของ “จอร์จ สตีเฟนสัน” (George Stephenson) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดรถไฟของโลกด้วย

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงปี ค.ศ. 1970 เมื่อมนุษย์รู้จักประยุกต์หลักคิดทางเศรษฐศาสตร์ การแบ่งงานกันทำหรือแยกการทำงานเป็นขั้นตอน (Division of labor) ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากพลังงานไฟฟ้า จนนำมาสู่พัฒนาการของระบบการผลิตเป็นปริมาณมากแบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า (Electric-Powered Mass Production) ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต

โดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มผลผลิตหรืออัตราผลิตภาพ (Productivity) มีการพัฒนา “สายการผลิต” หรือ “การผลิตแบบต่อเนื่อง” (Production Line, Continuous Process)

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อโลกเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (ICT) มีการใช้งานระบบอัตโนมัติทั้งในงานสำนักงาน (Office Automation) และในกระบวนการผลิต (Industrial Automation) อาทิ ระบบควบคุมด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ PLC และการใช้งานหุ่นยนต์อุตสาหกรรม

ท้ายสุด การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ “Industry 4.0” ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันก็อาจนับเป็นการรวมร่างครั้งใหญ่ของโลกยุคดิจิทัล (Digitalization) เทคโนโลยี ICT (Interconnection) ระบบอัตโนมัติ (Automation) ที่มาพร้อมกับความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการใช้งานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ที่ไม่เคยทำได้มาก่อนในอดีต

European Parliamentary Research Service รายงานว่า ผลพวงจากความพยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรการผลิต อันได้แก่ แรงงาน วัตถุดิบ ฯลฯ ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ทำให้ 1 ใน 3 ของฐานการผลิตที่เคยอยู่ในยุโรปถูกย้ายไปอยู่ที่ประเทศอื่น

มีผลทำให้ “มูลค่าเพิ่ม” (Value Added) อันเกิดจากอุตสาหกรรมในยุโรปเองคงเหลืออยู่ที่ราว 15.3% ในเวลาเดียวกันการถดถอยของอุตสาหกรรม (De-industrialization) ในยุโรปย่อมหมายถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมในประเทศอื่น เช่น จีน เป็นต้น และกำลังนำมาซึ่งการลดความสำคัญของอุตสาหกรรมในยุโรปเอง

ในปี ค.ศ. 2012 สหภาพยุโรปจึงร่วมกันกำหนด “ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม” ว่าภายในปี ค.ศ. 2020 จะต้องทำให้มูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมในยุโรปขยับจาก 15.3% ไปเป็น 20% ซึ่งหมายถึงการดึงฐานการผลิตกลับสู่ยุโรป

แนวคิด Industry 4.0 เกิดขึ้นก็เพื่อเป็นเครื่องมือรับมือกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นด้วยการลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ไปสู่การใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติ ตัวอย่างหนึ่งของความพยายามนี้ คือการที่อังกฤษใช้เงินลงทุนกว่า 82 ล้านปอนด์ ส่งเสริมให้มีการตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้า “IEP” (Intercity Express Programme) ที่ Newton Aycliffe ใน Durham ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Hitachi ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินการโดยกระทรวงคมนาคม (British’s Department for Transport) มีพิธีเปิดในเดือน ก.ย. 2015 เพื่อทำให้อุตสาหกรรมการผลิตรถไฟที่มีต้นกำเนิดในอังกฤษในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ก่อนจะค่อยๆ แพร่ขยายไปเติบโตในประเทศต่างๆ ได้เดินทางกลับสู่ถิ่นกำเนิดของมันอีกครั้ง พร้อมกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

ด้วยบริบทนี้ Industry 4.0 จึงเป็นเรื่องยุคสมัยของ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” อันเกิดจากการประกอบร่างของเทคโนโลยีหลากหลาย (เน้นว่าไม่ใช่เทคโนโลยีเดียว) นำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของ
ประเทศ (ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพชีวิตพลเมือง) เมื่อจะนำมาประยุกต์ใช้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนด “ยุทธศาสตร์” ให้สัมพันธ์กับ “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” (บางตำราเรียกว่า อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์) ซึ่งยุโรปมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการยกระดับมูลค่าเพิ่มในการผลิตจาก 15.3% ไปเป็น 20% ภายในปี ค.ศ. 2020

เคยเล่าไว้หลายครั้งในหลายเวทีว่า ตัวอย่างการกำหนดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมที่มีเป้าหมายชัดเจนสำหรับประเทศ โดยอาศัยความต้องการภายในประเทศเป็นตัวตั้ง อาทิ การพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าความเร็วสูงของเกาหลีใต้ ซึ่งมีระบบขนส่งทางรางใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 (ใกล้เคียงกับกำเนิดกิจการรถไฟของไทย)

แต่นับจนถึงช่วงต้นทศวรรษที่ 90 แม้เกาหลีใต้จะมีขีดความสามารถที่ผลิตรถไฟได้เองแล้ว แต่ยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ จากหลายประเทศ ในขณะนั้นรถไฟเกาหลีแต่ละเส้นทางมีเทคโนโลยีแตกต่างกัน อะไหล่ในแต่ละเส้นทางไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ เกิดอุปสรรคในการบำรุงรักษา และข้อจำกัดที่ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพรถไฟให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากการขาดผู้เชี่ยวชาญ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีตลอดจนงบประมาณ

เกาหลีใต้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ จึงริเริ่มยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมระบบราง โดยใช้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นตัวนำ มีการจัดทำเงื่อนไขสำหรับผู้เสนอราคา (Request For Proposal, RFP) แก่ประเทศที่สนใจ

โดยมีเงื่อนไขว่าต้องช่วยให้เกาหลีใต้มีรถไฟที่มีความเร็วสูงถึง 300 กม./ชม. ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดให้ ต้องอนุญาตให้เกาหลีใต้ขายเทคโนโลยีแก่ประเทศที่ 3 ในอนาคต และต้องช่วยให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Localization)

ประเทศที่เสนอราคาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกาหลีใต้มีฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น ในที่สุดเกาหลีใต้เลือกฝรั่งเศส โดยมีเงื่อนไขว่า 1) ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น 2) หลังจากถ่ายทอดแล้ว ต้องช่วยให้เกาหลีใต้สามารถผลิตรถไฟโดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศได้อย่างน้อย 50% หากล้มเหลวจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับเกาหลีใต้คิดเป็นมูลค่า 20% ของมูลค่าความล้มเหลว 3) ให้สิทธิเกาหลีใต้ขายเทคโนโลยีให้ประเทศที่สาม

นับจากเริ่มต้นโครงการในปี ค.ศ. 1996 ปัจจุบันเกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการผลิตรถไฟฟ้าความเร็วสูงของตัวเองที่มีความเร็วเป็นอันดับที่ 4 ของโลก

คำถามคือ ประเทศไทยมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมว่าจะต้องทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร ภายในปีใด เพื่ออะไร?

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ไบรท์ตัน พบ ซันเดอร์แลนด์ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 20 ธ.ค.68