นันทพล จั่นเงิน สถาปนิกสร้างสรรค์โลก
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานสถาปนิก’60 งานยิ่งใหญ่แห่งปีในแวดวงสถาปนิกและวัสดุก่อสร้างระดับภูมิภาคอาเซียน
โดย...โชคชัย สีนิลแท้
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานสถาปนิก’60 งานยิ่งใหญ่แห่งปีในแวดวงสถาปนิกและวัสดุก่อสร้างระดับภูมิภาคอาเซียน ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-7 พ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดบ้าน บ้าน Reconsidering Dwelling ที่ในปีนี้ นันทพล จั่นเงิน อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นอุปนายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้เป็นประธานจัดงานในครั้งนี้้
จากแนวคิดที่มองว่า “บ้าน” เป็นหน่วยย่อยของสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดของคน บ้านที่ออกแบบมาดี วางแผนดี จะส่งผลให้ภาพรวมหรือชุมชนออกมาดีมีคุณภาพ เป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งจากการศึกษามาทางด้านงานสถาปัตยกรรมนั้น รู้ดีว่าวิชาชีพนี้ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบงานเพื่อสร้างสรรค์ผลงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่กว่าจะได้ผลงานที่ดีออกมานั้นก็ยังกลายเป็นผู้ทำลายไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นการที่จะต้องใช้ไม้แบบหรือไม้บาซาร์ รวมไปถึงกระดาษจำนวนมากเช่นกัน ทำให้แนวคิดการออกแบบงานต้องคำนึงถึงธรรมชาติมาเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบ
นันทพล ย้อนรำลึกถึงวัยเยาว์ให้ฟังว่า จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี 2543 หลังจากนั้นได้ทำงานกับอาจารย์อัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกฯ คนปัจจุบัน ในบริษัท สถาปนิกอัชชพล ดุสิตนานนท์ และคณะ ได้ 2 ปี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีโอกาสเรียนรู้และส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีงาน Takiron International Design Competition ที่ประเทศญี่ปุ่น งานนี้มีสถาปนิกส่งผลงานเข้าประกวดเกือบ 1,000 ชิ้นงาน
ผลงานของเขานั้นได้รับรางวัลที่ 1 ด้วยแนวคิด a House Within Nature หรือที่อยู่อาศัยกับธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้งานออกแบบด้านสถาปัตยกรรมจากฝีมือเขานั้นต้องอยู่ควบคู่กับธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตัดขาดออกจากกันได้
“นิยามของคำว่าบ้านนั้นกว้างมาก องค์ประกอบของบ้านไม่ใช่มีแค่ตัวบ้าน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ แต่ต้องคำนึงถึงบริบทที่อยู่รอบบ้าน นอกพื้นที่ส่วนตัว หรือเป็นพื้นที่ธรรมชาติ ต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้เล็กที่เริ่มจากการปลูกเป็นพืชผักสวนครัว ไปจนถึงต้นไม้ใหญ่เพื่อสร้างให้เกิดความร่มรื่น จึงทำให้การจัดงานสถาปนิก’60 มีการนำต้นไม้ยืนต้นจากกรมป่าไม้ ที่เกิดจากการเพาะกล้ากว่า 5,000 ต้น โดยได้แจกจ่ายวันละ 900 ต้น ให้กับผู้เข้ามาชมงานได้นำกลับไปปลูกเพื่อช่วยสร้างจิตสำนึก และให้คนคำนึงถึงการช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ ต้องการให้ผลงานที่ออกแบบมาทั้งหมดไม่กลายไปเป็นของเหลือใช้หรือขยะ แต่ต้องนำมาใช้ประโยชน์ซ้ำได้ โดยสิ่งที่เกิดจากกิจกรรมในงานสถาปนิก’60 นั้นจะต้องนำมาใช้ประโยชน์หรือรียูสได้เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขยะที่เกิดจากการทำโต๊ะ หรือชั้นวาง รวมไปถึงโมเดลงานออกแบบต่างๆ พาวิลเลียนหรือศาลาการจัดกิจกรรมภายในงานนั้น จะถูกส่งนำไปใช้ต่อบ้านพักของคนพิการ รวมไปถึงต้นไม้ที่แจกจ่ายเพื่อให้คนตระหนักถึงทรัพยากรธรรมชาติที่นับวันจะเหลือน้อยลง
การออกแบบผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมหากมองทั้งในแง่บวกและลบนั้น ถือว่ามีความขัดแย้งกันเองภายในตัว คือเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย ซึ่งในฐานะที่เป็นสถาปนิกและอาจารย์สอนทางด้านสถาปนิก ที่ให้ความรู้ทางด้านงานสถาปัตยกรรมแล้วจะต้องให้เขาได้เรียนรู้ว่า วิชาชีพนี้ไม่ใช่เป็นผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ การสร้างผลงานใหม่ๆ ขึ้นมานั้น ทุกวันนี้จะต้องสร้างแบบมีสติ ผลงานสถาปัตยกรรมมีมุมมองที่ใครอาจจะไม่ได้คำนึงถึงว่ามีส่วนสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ อย่างการเข้าไปอยู่ในโบสถ์ ที่ช่วยให้เกิดสติหรือสร้างแรงบันดาลใจของคนหรือเปลี่ยนแปลงจากชีวิตในด้านร้ายให้มาเป็นสิ่งที่ดีขึ้น
นันทพล ย้ำว่า จากการที่ได้มาเป็นประธานจัดงานสถาปนิก’60 สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการเปิดมุมมองความคิดให้กว้างขึ้น เพราะงานสถาปนิกนั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่ 7.5 หมื่นตารางเมตร ของอาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีผู้แสดงสินค้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 700 ราย ซึ่งในปีนี้มีผู้มาเดินชมภายในงานถึง 4 แสนคน การทำงานร่วมกันจึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบรรดารุ่นพี่ รุ่นน้องของสถาปนิก เนื่องจากวิชาชีพนี้มีทั้งแข่งขันกันเองเพื่อที่จะรับงาน แต่เมื่อต้องทำงานใหญ่ร่วมกันก็ต้องอาศัยความร่วมมือกันสร้างผลงานให้เกิดขึ้น เป็นการสร้างบ้าน สร้างเมือง อนุรักษ์และส่งเสริมธรรมชาติ
จะเห็นได้ในงานสถาปนิกทุกๆ ปี เวทีงานสถาปนิกมีการเปิดพื้นที่ให้กับนิสิต นักศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมมาร่วมจัดงาน แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาการจัดงานสถาปนิกไม่ตรงกับช่วงวันปิดเทอม ทางสมาคมจึงต้องปรับพื้นที่บูธของนักศึกษาให้ลดน้อยลง เพื่อไม่ให้กระทบกับงานออกแบบ แต่บรรดาน้องๆ สถาปนิกรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกัน โดยดูได้จากแนวคิดที่ดีในการออกแบบที่มาแสดงภายในงาน มีการทำเวิร์กช็อปร่วมกัน 35 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่เปิดสอนด้านสถาปัตยกรรม
ณ วันนี้ วงการสถาปนิกเปิดกว้างขึ้นหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงทำให้เกิดการเข้ามาและการเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเปิดกว้างในแวดวงนี้มีตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ที่คนไทยซึมซับวัฒนธรรมจากประเทศตะวันตก และเห็นได้จากการมีครูที่สอนทางด้านทัศนศิลป์ และประติมากรรม อย่างอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ทำให้สังคมไทยต้องเปิดกว้าง เพราะงานด้านศิลปกรรมนั้นมีการซึมซับและถ่ายทอดกันไปมา ทั้งจากยุโรป หรือแม้แต่ในภูมิภาคเอเชียด้วยกันเอง งานออกแบบสถาปัตยกรรมนั้นจะมีคุณค่ามากเพียงใด ไม่ได้อยู่ที่แบบสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ต้องช่วยอนุรักษ์สร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีงามยิ่งขึ้นต่อไปด้วย


