ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (18)
สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าต้น กรมหลวงเทพหริรักษ์ เป็นพระโอรสลำดับที่ 1 ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์
โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าต้น กรมหลวงเทพหริรักษ์ เป็นพระโอรสลำดับที่ 1 ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ กับเจ้าขรัวเงิน ประสูติในกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี 2302 เป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
“แต่กรมหลวงเทพหริรักษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสใหญ่ของกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์นั้น เมื่อเวลากรุงเก่าแตกทำลายนั้น ทรงผนวชเป็นสามเณรตามพระอาจารย์ไปทางอื่น ได้ลาผนวชกลับมายังสกุล เมื่อมาตั้งอยู่ในตำบลนี้แล...”
คือ ณ ที่ประทับที่กรุงธนบุรีนั้น ครั้นต่อมาเมื่อทรงพระเจริญวัยแล้ว ได้รับราชการทหาร และได้โดยเสด็จในการพระราชสงครามด้วย ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน ในครั้งนั้นได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เป็นพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และตั้งพระยาสุริยภัยพระราชนัดดาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้านั้น ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ฝ่ายหลังหรือวังหลัง แล้วต่อมาได้ทรงตั้งกรมหลวงเทพหริรักษ์ ซึ่งมีปรากฏข้อความตามหนังสือพงศาวดารรัชกาลที่ 1 ว่า
“อนึ่ง เจ้าต้นพระราชนัดดา ซึ่งเป็นพระราชบุตรสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอพระองค์น้อยนั้น โปรดตั้งเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์”
อันความสัมพันธ์สายนี้ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้ทรงพระนิพนธ์ว่า
“บุรพชนเดินมาแต่สายพระบรมราชวงศ์จักรี และสายราชินิกุล รัชกาลที่ 4 คือทางสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงพระนาม‘เจ้าฟ้าต้น’ อันเป็นพระเชษฐภาดาของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีนั้น สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงเทพหริรักษ์มีนางห้ามเป็นชายาคนหนึ่งชื่อ ‘ผ่อง’ เป็นธิดาของเจ้าขรัวทองราชินิกุลรัชกาลที่ 4 ผู้เป็นพี่ชายของเจ้าขรัวเงินพระชนกของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 นั้น”
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์นี้ ทรงเป็นทะแกล้วทหารหาญพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ได้ร่วมการรณรงค์สงครามเมื่อในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งนอกจากโดยเสด็จในทัพหลวงแล้ว ยังได้เป็นแม่ทัพโดยพระองค์เองด้วยเช่นในพงศาวดารมีกล่าวไว้ว่า
“ลุศักราช 1146 ปีมะโรง ฉศก ถึง ณ เดือนหก สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เป็นแม่ทัพถือพลทหาร 5,000 ยกกองทัพเรือออกไปตีเมืองไซ่งอนคืนให้องเชียงสือให้จงได้ ให้เอาองเชียงสือไปในกองทัพด้วย”
ต่อมาเมื่อมีราชการสงครามกับพม่าอีก พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 1 จารึกไว้ว่า
“พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ได้ทรงทราบข่าวศึกดังนั้น จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ มีกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลังเป็นต้นกับทั้งท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายพร้อมกัน ดำรัสปรึกษาราชการสงครามเป็นหลายเวลา ในลำดับนั้น หนังสือบอกเมืองชุมพร เมืองถลาง เมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร เมืองพระพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองนครลำปาง บอกข้าราชการศึกว่าทัพพม่ายกมาเป็นหลายทัพหลายทาง ทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือแลหนังสือบอกมาถึงเนื่องๆ กัน
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงมีพระราช โองการโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จพระราชดำเนินพยุหโยธาทัพหลวง ไปรับพม่าข้าศึกทางกาญจนบุรีโปรดให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ ผู้ว่าราชการที่สมุหนายก คุมกองทัพท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายพระราชวังหลวงแลทัพหัวเมืองทั้งปวงโดยเสด็จพระราชดำเนินอีกทัพหนึ่ง แลทางเหนือนั้น มีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลัง กับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริทร์รณเรศ แลเจ้าพระยามหาเสนาบดีศรีสมุหพระกลาโหม เจ้าพระยาพระคลัง พระยาอุทัยธรรม แลท้าวพระยาข้าราชการในกรุงฯ แลหัวเมืองทั้งปวง ยกกองทัพไปทั้งรบพม่าณ เมืองนครสวรรค์ทัพหนี่ง”
“ทัพหลวงก็เสด็จพระราชดำเนินหนุนขึ้นไป แล้วดำรัสให้กองทัพสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ยกไปบรรจบกับทัพเจ้าพระยาพระคลังพระยาอุทัยธรรมซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชัยนาท ให้ยกขึ้นไปทางปากน้ำโพ ให้ตีพม่าซึ่งมาตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านระแหง ให้แตกไปโดยเร็ว แล้วทัพหลวงก็เสด็จขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ ณ บางเข้าตอก ให้เรือตำรวจขึ้นไปเร่งกองทัพกรมพระราชวังหลัง และเจ้าพระยามหาเสนา ให้ยกเข้าตีพม่า ณ ปากน้ำพิง ให้แตกแต่ในวันเดียวกัน แม้เนิ่นช้าไปจะเอาโทษถึงชีวิตทั้งสิ้น ก็ยกพลทหารทั้งปวงเข้าโจมตีค่ายพม่าทุกๆ ค่าย พม่าต่อรบเป็นสามารถ ยิงปืนใหญ่น้อยโต้ตอบกันทั้งสองฝ่าย รบกันแต่เช้าจนค่ำ ด้วยเดชะพระบรมโพธิสมภาร บันดาลให้พวกพม่าสยบสยองย่อท้อเกรงกลัวพระราชกฤษดาเดชานุภาพเป็นกำลัง มิอาจต้านต่อได้ ทัพพม่าก็แตกฉานพ่ายหนีออกจากค่ายทุกๆ ค่าย...”


