posttoday

ราชสีห์ปฏิวัติ

12 กันยายน 2553

มีข่าวที่น่าชื่นใจก็คือ ขณะนี้ข้าราชการมหาดไทยกำลังต่อสู้กับ “หนูๆ” ที่อาศัยคราบนักการเมืองหรือน้องนักการเมืองมากัดแทะ “ราชสีห์” ถึงขั้นถวายฎีกากันแล้ว....

มีข่าวที่น่าชื่นใจก็คือ ขณะนี้ข้าราชการมหาดไทยกำลังต่อสู้กับ “หนูๆ” ที่อาศัยคราบนักการเมืองหรือน้องนักการเมืองมากัดแทะ “ราชสีห์” ถึงขั้นถวายฎีกากันแล้ว....

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

“ราชสีห์” ตามพจนานุกรมแปลว่า “พญาสิงโต” ครั้นพอไปค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องสิงโตก็พบว่า เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับแมว เพียงแต่ว่าตัวโตและน่ากลัวกว่ากันมาก
อีสปนักเล่านิทานชื่อดังเล่าเรื่องราชสีห์กับหนูอย่างมีคติและเป็นอมตะ ให้เห็นว่าสัตว์เล็กๆ อย่างหนูก็สามารถช่วยชีวิตสัตว์ใหญ่ๆ อย่างราชสีห์นั้นได้ (แต่หนูตัวนั้นจะต้องสร้างบุญคุณให้กับราชสีห์เสียก่อน) หรือมองอีกมุมหนึ่งสัตว์ที่มีอำนาจมากอย่างราชสีห์ก็อาจจะติดบ่วงหรือหลงกลนายพรานได้เช่นกัน

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มักจะมีมุมมองอะไรขำๆ อยู่เป็นปกติ คราวหนึ่งบ้านเมืองวุ่นวายนัก ในฐานะนักหนังสือพิมพ์ท่านก็เขียนอะไรสนุกๆ ให้คนอ่านได้ฮาเฮ อย่างการนำนิทานอีสปมาดัดแปลงแล้วตั้งชื่อซีรีส์นั้นว่าอีสปการเมือง ซึ่งเรื่องราชสีห์กับหนูนี้ก็ถูกนำมาดัดแปลงได้อย่าง(สนุก)ถึงใจ

ราชสีห์ปฏิวัติ

เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่หนูได้ช่วยราชสีห์จนรอดมาได้ โดยที่ราชสีห์ได้กล่าวอมตะวาจา (ซึ่งต่อมาภายหลังได้เป็นมรณะวาจา) แก่หนูว่า “ถ้าท่าน (เห็นไหมว่าราชสีห์ได้ส่งเสริมระบบศักดินามานานแล้วด้วยการยกย่องอะไรก็ได้ที่ทำประโยชน์ให้ว่าท่าน) ปรารถนาใดตอบแทนขออย่าได้เกรงใจ จงบอกมาเถิดเราจะหามาให้ท่านจงทุกประการ”

วันหนึ่งขณะที่ราชสีห์กินอิ่มแล้วก็นอนหลับ (อย่างที่ภาษาผู้บริหารยุคนี้เรียกการหลับในเวลาทำงานว่า “ชาร์จแบต”) กำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าถ้ำ ตามมาด้วยเสียงที่เคยได้ยินมาแล้วไม่นานนัก ซึ่งก็คือท่านหนูผู้มีพระคุณนั่นเอง จึงออกไปต้อนรับและทราบว่าท่านหนูอยากมาอาศัยอยู่ด้วย “สักระยะหนึ่ง” ก็ยินดีด้วยระลึกในพระคุณและคำพูดที่รับปากไว้

หลายวันท่านหนูจึงขอลาไปทำธุระแล้วบอกจะกลับมาอีกภายใน 2–3 วัน แต่วันรุ่งขึ้นก็กลับมาพร้อมด้วยลูกและเมียของท่านหนูรวมแล้วนับสิบท่าน เอ๊ย ตัว บอกว่ากำลังจะไปหาที่อยู่ใหม่ขอมาอาศัยชั่วครู่ แต่ก็กลายเป็นหลายวันและหลายเดือนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะไปที่อื่น ที่หนักหนากว่านั้นก็คือ ราชสีห์จะต้องไปหาอาหารมาปรนเปรอครอบครัวของท่านหนูนี้ทุกวัน ต้นๆ ก็ทานง่ายๆ อย่างพอเพียง แต่นานเข้าก็เรียกร้องจะกินอะไรแปลกๆ วันหนึ่งราชสีห์จึงคิด “ปฏิวัติ” ด้วยการตะปบบรรดาท่านๆ หนู

เหล่านั้นตายจนหมด แล้วราชสีห์ก็มีชีวิตเป็นปกติสุขดังเดิม

ในระบบราชการไทยปัจจุบันถ้าพูดถึงราชสีห์ก็จะหมายถึงข้าราชการกระทรวงมหาดไทย แต่ในสมัยโบราณจะมีความหมายกว้างไกลกว่านั้น เพราะเป็น 1 ใน 2 ของมหาอำนาจทางราชการของไทยมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ได้แยกข้าราชการเป็น 2 พวก คือฝ่ายกลาโหมกับฝ่ายมหาดไทย ซึ่งจะทำหน้าที่แบบเดียวกันคือการคุม “ไพร่พล” ไว้ป้องกันศัตรูผู้รุกราน โดยที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะแบ่งให้ฝ่ายกลาโหมดูแล|หัวเมืองทางเหนือและฝ่ายมหาดไทยให้ดูแลหัวเมืองทางใต้ และมีตราสัญลักษณ์ที่เรียกว่า “ลัญจกร” คนละอย่างกัน โดยกลาโหมจะใช้ “ตราคชสีห์” คือรูปสัตว์ที่มีส่วนผสมของช้างกับราชสีห์ ส่วนมหาดไทยจะใช้ “ตราราชสีห์” ซึ่งเป็นรูปราชสีห์ทั้งตัว ซึ่งพญาสัตว์ทั้งสองนี้ล้วนมีอยู่ในป่าหิมพานต์

ภายหลังการค้าขายต่างประเทศเจริญขึ้น จึงมีข้าราชการอีกกลุ่มหนึ่งเติบโตขึ้นมาคือ ฝ่ายกรมพระคลังที่ดูแลงานของกรมท่าที่ดูแลการค้าขายกับต่างชาติโดยตรงนั้น ซึ่งความสำคัญนี้จะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงชำระกฎหมายเพื่อใช้ในทางราชการ ก็ทรงให้|จัดทำเป็น 3 ฉบับ ที่เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” คือ ฉบับหนึ่งประทับตราคชสีห์ให้ไว้กับสมุหกลาโหม ฉบับหนึ่งประทับตราราชสีห์ให้ไว้กับสมุหมหาดไทย และอีกฉบับหนึ่งประทับตรา “บัวแก้ว” ให้ไว้กับกรมพระคลัง ที่ต่อมาตราบัวแก้วนี้ก็คือตราสัญลักษณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีการปรับปรุงระบบราชการให้ทันสมัย ฝ่ายมหาดไทยก็ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงหนึ่ง แล้วให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่ากันว่ามี “ฐานันดรศักดิ์” ในพระราชวงศ์รองลงมาจากพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาบดี พร้อมกันนั้นในขณะที่ฝ่ายทหารก็มีโรงเรียนสอนและสร้างนายทหารที่เรียกว่าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ฝ่ายพลเรือนก็มีโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งส่วนใหญ่ก็สร้างข้าราชการออกไปเป็น “พระเนตรพระกรรณ” เพื่อดูแลทุกข์สุขของราษฎรในพระนามของพระมหากษัตริย์นั่นเอง และต่อมาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วให้ตั้งคณะรัฐศาสตร์ขึ้นเพื่อสร้างข้าราชการไปทำ งานในกระทรวงมหาดไทยนั้น

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มา “แพแตก” ในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะคณะราษฎรท่านต่อต้านศักดินา จึงได้สร้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อให้การศึกษากระจายไปในหมู่ประชาชนอย่างเสมอภาค แล้วยุบคณะรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ไปเสีย จนมาถึง 2490 สภาผู้แทนราษฎรยุคนั้นได้เสนอกฎหมายให้ตั้งคณะรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ ขึ้นใหม่ แล้วนับนิสิตที่เข้าศึกษารุ่นแรกใน พ.ศ. 2491 ว่าเป็น “สิงห์ดำรุ่น 1” โดยที่สิงห์ก็คือราชสีห์อันเป็นสัญลักษณ์ของมหาดไทย จากนั้นมหาวิทยาลัยใดที่มีคณะรัฐศาสตร์ก็จะใช้สัญลักษณ์รูปสิงห์นี้แทน|นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ทั้งสิ้น ได้แก่ รัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์เรียกว่า “สิงห์แดง” รัฐศาสตร์รามคำแหงเรียกว่า “สิงห์ทอง” รัฐศาสตร์เชียงใหม่เรียกว่า “สิงห์ขาว” และรัฐศาสตร์สุโขทัยธรรมาธิราชเรียกว่า “สิงห์เขียวทอง”

ทุกวันนี้คนที่เรียนรัฐศาสตร์ไม่ใช่จะต้องไปเป็นข้าราชการโดยเฉพาะที่กระทรวงมหาดไทยนั้นเท่านั้น เพราะรัฐศาสตร์เป็นวิชากว้างและมีการแยกย่อยเรียนกันในคณะรัฐศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นอีกหลายแขนง ซึ่งขณะนี้พบว่านักศึกษาที่เรียนจบแล้วอยากไปเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็มีจำนวนไม่มาก ซึ่งในทางส่วนตัวของผู้เขียนที่เป็นอาจารย์สอนรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเปิดก็พบว่า ส่วนใหญ่เรียนเพื่อเพิ่มพูนคุณวุฒิของข้าราชการระดับล่าง นอกนั้นก็เป็นการเพิ่มเติมความรู้ทางด้านการเมืองการปกครองของประชาชนทั่วไป แต่ที่เพิ่มขึ้นก็จะมีคนที่มาเรียนเพื่อเปลี่ยนสายงานไปทางการปกครองท้องถิ่นที่จะเติบโตไปในอนาคต

มีข่าวที่น่าชื่นใจก็คือ ขณะนี้ข้าราชการมหาดไทยกำลังต่อสู้กับ “หนูๆ” ที่อาศัยคราบนักการเมืองหรือน้องนักการเมืองมากัดแทะ “ราชสีห์” ถึงขั้นถวายฎีกากันแล้ว ก็ขอให้สู้จริงๆ และปราบหนูเน่าเหล่านี้ให้หมดกระทรวง ดูอย่างกระทรวงอื่นๆ ที่เขาเอาจริงเช่นสาธารณสุขก็ได้

อย่าให้คนเขาล้อเลียนว่า เอาเข้าจริงๆ ราชสีห์ก็ร้องได้แค่ “เหมียวๆ” อย่างเคย!

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68