หน่วยรบของอู๋ฉี่ ความสามารถของทีมคือของจริง
พูดถึงพิชัยสงครามจีน นอกจากพิชัยสงครามซุนวูแล้ว ก็มีพิชัยสงครามอู๋ฉี่ที่โด่งดังไม่แพ้กัน
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
พูดถึงพิชัยสงครามจีน นอกจากพิชัยสงครามซุนวูแล้ว ก็มีพิชัยสงครามอู๋ฉี่ที่โด่งดังไม่แพ้กัน
อู๋ฉี่เป็นแม่ทัพคนสำคัญในยุคจ้านกว๋อ เขาเกิดหลังซุนวูประมาณ 100 ปี ในขณะที่พิชัยสงครามซุนวูเป็นที่รู้จักแพร่หลายที่สุดในยุคปัจจุบัน แต่ชีวประวัติหรือสถิติการรบของซุนวูกลับไม่เป็นที่ปรากฏเด่นชัดในประวัติศาสตร์เท่ากับอู๋ฉี่ ถ้าจะนับผลงานการรบในประวัติศาสตร์ อู๋ฉี่คือตัวตนที่จับต้องได้จริง ซุนวูเป็นเพียงหลักการนามธรรม
23 ปีที่เขาได้เป็นแม่ทัพอยู่ที่เมืองซีเหอ ในแคว้นเว่ย ตั้งแต่เขาอายุ 35 ปี จนถึง 58 ปี เขาบัญชาการศึกทั้งหมด 76 ครั้ง ได้ชัยชนะทั้งสิ้น 64 ครั้ง อีก 12 ครั้งข้าศึกถอนทัพหรือไม่ก็ยอมแพ้ นี่คือสถิติร้อยรบมิพ่ายตัวจริง
ชัยชนะในสนามรบที่ต่อเนื่องยาวนานและเด่นชัด ย่อมไม่ได้มาจากแค่เล่ห์กลและอุบายศึกตีกินไปวันๆ อู๋ฉี่เน้นการฝึกทหารให้เข้มแข็งจริงๆ
อันเนื่องจากเมืองซีเหอที่อู๋ฉี่บัญชาการอยู่เป็นดินแดนที่มีพลเมืองเบาบางและติดแคว้นคู่สงครามหลายแคว้น จะเกณฑ์ทหารสร้างกองทัพอย่างไรก็ได้จำนวนไม่มาก และหากจะหวังใช้กลยุทธ์ถ่วงเวลาข้าศึกพึ่งกองกำลังจากเมืองหลวงก็ห่างไกลเกินไปไม่ทันการ นอกจากสร้างค่ายคูประตูหอรบให้เข้มแข็งแล้ว อู๋ฉี่ยังคิดสร้างกองกำลังที่มีประสิทธิภาพสูงแทน
อู๋ฉี่เอาใจใส่คัดเลือกทหารด้วยตนเอง นอกจากสภาพร่างกายที่ต้องสมบูรณ์แข็งแรงเป็นพื้นฐาน ยังต้องมีจิตใจสู้ตาย เป้าหมายของเขาคือสร้างหน่วยรบที่ใช้เพียงหนึ่งก็ชนะถึงสิบ
ทหารของเขาจะต้องใช้อาวุธได้คล่องแคล่วไม่ว่าดาบหรือหอก เชี่ยวชาญการง้างธนูยิงได้แม่นยำ ชำนาญทั้งการรบแบบทหารราบและทหารม้า พร้อมรบทุกสภาพชัยภูมิ
สำหรับซุนวู ผู้คนคงนึกถึงตัวอย่างการฝึกบังคับบัญชาทหารโดยใช้ความเกรงกลัวใช้วินัยทัพอันเข้มงวดเข้าควบคุม เช่น เมื่อครั้งซุนวูถูกทดลองฝีมือการควบคุมกองทัพ โดยมอบหมายให้ใช้นางสนมนับร้อยแทนกองทหาร ซุนวูจัดตั้งให้สนมคนโปรดของท่านอ๋องเป็นนายกอง เมื่อสั่งถึง 3 ครั้งแต่ไม่ได้ดั่งคำสั่ง จึงสั่งตัดหัวนายกองที่เป็นสนมเอก ลิงหัวหาย ไก่จึงเชื่อฟัง
แต่อู๋ฉี่ตรงกันข้าม เขาตั้งหน่วยรบพิเศษประสิทธิภาพสูง เรียกว่าหน่วยรบแห่งเว่ย เขาจูงใจทหารเชี่ยวชาญการรบด้วยผลประโยชน์มากมาย ไม่ใช่บทลงโทษเข้มงวด ผู้ใดเชี่ยวชาญการรบจะมีรายได้อย่างงาม ครอบครัวทหารในหน่วยรบพิเศษได้ลดส่วยลดภาษี แต่ขอบอกว่ามาตรฐานของอู๋ฉี่สูงยิ่งนัก
ทหารที่เข้าหน่วยรบพิเศษได้ต้องผ่านการทดสอบ วิธีการฝึกประหนึ่งคัดเลือกคนเหล็ก เขาให้ทหารสวมเกราะหนัก 3 ชั้น หมวกเหล็ก พร้อมสะพายคันธนูหนักและลูกธนู 50 ดอก มือถือทวนโบราณ ดาบสะพายเอว พร้อมเสบียงอาหารและน้ำ 3 วัน ด้วยสัมภาระข้างต้น ทหารที่เข้าทดสอบจะต้องเดินทางขึ้นเขาลงห้วยเป็นระยะทางร้อยลี้ (50 กม.) ภายในครึ่งวัน คนที่ผ่านเท่านั้นจึงได้เขาหน่วยรบพิเศษของเขา
ฝึกหนัก ผลตอบแทนก็หนักตามไปด้วย
นั่งฝันหรือโอ้อวดว่าจะสร้างหน่วยรบได้แบบนี้ด้วยการทุ่มทุน ใครๆ ก็ทำได้ แต่จะทำได้จริงและรักษาจิตวิญญาณของหน่วยรบให้เข้มแข็งต่อเนื่องไม่ย่อหย่อนลงพุงไปเสียก่อน มีมากกว่าแค่การทุ่มทุน
นอกจากบำเหน็จงดงามแล้ว อู๋ฉี่ทำอย่างไรจึงได้หน่วยรบนี้มา?
อู๋ฉี่ปกครองทหารในสังกัดด้วยเอาใจใส่ ความเมตตาและเป็นกันเอง ใช้ชีวิตกินนอนร่วมกัน ไม่แบ่งแยกถือยศศักดิ์กับเหล่าทหาร เมื่อใครป่วยก็เอาใจใส่ถามไถ่อย่างใกล้ชิด
ครั้งหนึ่งมีทหารคนหนึ่งเป็นฝีหนองเม็ดใหญ่ที่กลางหลัง อู๋ฉี่รู้เข้าจึงมาดูอาการ เมื่อดูแล้วก็ใช้ปากดูดหนองออกมาทำให้อาการทุเลา ทหารผู้นั้นซาบซึ้งยิ่ง แต่เมื่อแม่ของทหารคนนั้นรู้เรื่องราวกลับร่ำไห้ออกมา ทุกคนต่างแปลกใจ...
จึงมีคนถามว่า “จะร้องไห้ทำไมเล่า ลูกเจ้าเป็นแค่พลทหาร แต่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีจากท่านแม่ทัพ น่าจะดีใจ”
แม่ของนายทหารนั้นจึงบอกว่า “เมื่อครั้งที่พ่อของนายทหารคนนี้บาดเจ็บ อู๋ฉี่ก็ทำแผลรักษาให้ ด้วยสำนึกบุญคุณ สามีตนจึงสู้ถวายหัวจนต้องสละชีพกลางสนามรบ บุตรชายของข้าก็คงมีชะตาไม่ต่างกับพ่อเขาแล้ว”
ตัวอย่างนี้อาจจะฟังดูน่าเศร้า และคู่แค้นอู๋ฉี่อาจนำไปกล่าวว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อซื้อใจล่อให้คนไปตาย แต่ผลที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ เขาคือคนที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเลื่อมใสสุดตัว
นอกจากอู๋ฉี่ดูแลกองทหารของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ ยังตั้งวินัยเข้มงวด ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการให้อยู่ใต้การควบคุม แต่เพราะเขารู้ดีว่ากองทัพที่ดีจะต้องมีราษฎรสนับสนุน เมื่อทัพของ
อู๋ฉี่พิชิตเมืองใดได้ ก็อยู่ในวินัยและกฎห้ามปล้น ห้ามทำร้ายประชาชน นี่คือกฎเหล็กประจำกองทัพ
เมื่อตีทหารเมืองแตกแล้วก็ถอยทัพกลับค่ายอย่างมีระเบียบวินัย ไม่เกะกะระรานชาวบ้านชาวเมือง ชาวบ้านเห็นเข้าก็เลื่อมใสศรัทธา ประกอบกับกองทัพทหารกล้าของอู๋ฉี่มีฝีมือเข้มแข็ง ยิ่งเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ดึงดูดให้ชาวบ้านอยากเป็นทหารในกองทัพเขามากขึ้น ส่วนที่ไม่ได้เข้าเป็นทหาร ก็ต่างพากันฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง กลายเป็นกระแสนิยมชายชาตินักรบไปโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องไล่จับไล่เกณฑ์ให้เสียเวลา เมืองซีเหอจึงกลายเป็นเมืองแห่งกองทัพ
อู๋ฉี่ปกครองดินแดนที่ประชากรเบาบางแต่กลับกลายเป็นดินแดนแห่งกองทัพที่มีประสิทธิภาพ มีราษฎรคอยสนับสนุน รบร้อยชนะร้อย ก็ด้วยความเอาใจใส่ทุ่มเทและแนวทางข้างต้นของอู๋ฉี่
บันทึกวิจารณ์นักการทหารยุคก่อนราชวงศ์ฉินบันทึกว่า
“พูดถึงการบัญชาทัพสิบหมื่น แล้วมิอาจมีใครในใต้หล้าต่อกรได้ ผู้นั้นคือ ฉีหวนกง”
“พูดถึงการบัญชาทัพเจ็ดหมื่น แล้วมิอาจมีใครในใต้หล้าต่อกรได้ ผู้นั้นคือ อู๋ฉี่”
“พูดถึงการบัญชาทัพสามหมื่น แล้วมิอาจมีใครในใต้หล้าต่อกรได้ ผู้นั้นคือ ซุนวู”
นั่นก็คือ ฉีหวนกง ออกรบเอิกเกริกยิ่งใหญ่ อาศัยการจัดการกองกำลังทหารจำนวนมากได้ดีจึงมีชัย ส่วนซุนวูมีแผนหลอกล่อบ่อนทำลายกำลังศัตรูแยบยลใช้ทหารไม่มาก ก็ปั่นป่วนหลอกล่อคู่ต่อสู้จนปวกเปียกได้ ส่วนอู๋ฉี่ใช้กำลังทหารพอเหมาะ เน้นการฝึกฝนเคร่งครัด สร้างกองกำลังที่มีประสิทธิภาพสูง
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมซุนวูจึงไม่ค่อยมีสถิติชัยชนะบันทึกไว้ให้เห็น เพราะซุนวูใช้กลยุทธ์ ไม่ได้รบซึ่งหน้าชัดเจน แต่อู๋ฉี่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรบจริง รบซึ่งหน้าต่อเนื่องยาวนาน จึงต้องการกองกำลังที่มีประสิทธิภาพจริง และสร้างสถิติจริง หน่วยรบแห่งเว่ยของอู๋ฉี่ คือหน่วยรบอันลือชื่อประวัติศาสตร์จีน
และแม้ตัวอู๋ฉี่จากแคว้นเว่ยไปแล้ว หน่วยรบแห่งเว่ยก็ยังคงแสดงโมเมนตัมของศักยภาพได้ยอดเยี่ยม
เมื่ออู๋ฉี่แพ้ภัยถูกใส่ร้ายทางการเมือง ต้องหนีจากแคว้นเว่ยและเสียชีวิตไปแล้วกว่า 20 ปี แคว้นจ้าวเข้าโจมตียึดดินแดนแคว้นเว่ย กงซูฉัวนำทัพแคว้นเว่ยเข้าต้านทาน ยึดดินแดนกลับคืนมาได้
ขณะที่อ๋องแคว้นเว่ยกล่าวชื่นชมกงซูฉัวและเตรียมจะประทานรางวัล กงซูฉัวกล่าวขึ้นมาว่า
“ศึกครั้งนี้ที่บรรดาทหารรุกไม่มีถอย ไม่เกรงอันตราย เข้มแข็งอาจหาญ จนเอาชนะได้เพราะว่าใช้ทั้งกลยุทธ์และวิธีกองทหารที่อู๋ฉี่สร้างไว้ ข้าพเจ้ามิควรได้รับความชอบ ขอพระองค์โปรดประทานรางวัลให้แก่ครอบครัวของอู๋ฉี่ที่ตกระกำลำบากด้วยเถิด...”
อ๋องแคว้นเว่ยทำตามนั้น และนั่นคือการสร้างชื่อครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของหน่วยรบแห่งเว่ย หน่วยรบพิเศษของอู๋ฉี่
ถ้าต้องยืนหยัดยาวนาน รบกับสถานการณ์จริงครั้งไม่ถ้วน ทีมหน่วยรบที่เข้มแข็งย่อมเป็นรากฐานอันสำคัญของชัยชนะ


