ชั้นเชิงการทูตของพระเจ้ากรุงธน
ความสัมพันธ์ไทยกับจีนมีมายาวนาน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้ากรุงธนนั้น มีประเด็นน่าศึกษา เพราะมีความสลับซับซ้อนมาก
โดย...ส.สต
ความสัมพันธ์ไทยกับจีนมีมายาวนาน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้ากรุงธนนั้น มีประเด็นน่าศึกษา เพราะมีความสลับซับซ้อนมาก แม้ว่าพระเจ้ากรุงธนจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขชาวจีนครึ่งหนึ่ง แต่การจะให้เฉียนหลง ฮ่องเต้ จักรพรรดิจีน ยอมรับนั้น ไม่ง่ายเลย
ชิงสื่อลู่
รศ.วุฒิชัย มูลศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทย จีน และญี่ปุ่น พูดเรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธน กับจักรพรรดิเฉียนหลง ในความสัมพันธ์ไทย-จีน ในการสัมมนาทางวิชาการเรื่องประวัติศาสตร์กรุงธนบุรีจากเอกสารของชาวต่างชาติ จัดโดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 19-20 เม.ย. 2560 ที่โรงแรมรอยัล ปริ้นเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร ทำให้เห็นภาพต่างๆ ระหว่างไทย-จีนระดับชั้นปกครองได้ดี เช่น การทูตของพระเจ้ากรุงธนที่ต้องการให้จีนยอมรับ แต่ถูกปฏิเสธในตอนแรก แถมตำหนิมาอีก ในที่สุดด้วยวิธีทางการทูต จักรพรรดิจีนยอมรับ แม้จะเป็นช่วงปลายรัชกาลแล้ว แต่การทูตครั้งนั้นช่วยให้รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงรัชกาลที่ 4 ได้รับอานิสงส์มากมาย
อาจารย์วุฒิชัย กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ฝ่ายจีนบันทึกไว้ค่อนข้างละเอียด ซึ่งบางเรื่องคนไทยไม่รู้ หรือบางเรื่องมีในบันทึกของจีน แต่ความจริง (ในไทย) เป็นอีกอย่างหนึ่ง บันทึกฝ่ายจีนที่อาจารย์วุฒิชัยอ้างถึงได้แก่ ชิงสื่อลู่ ซึ่งอาจารย์วุฒิชัยบอกว่ามีบันทึกจริงแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด แนะให้อ่านประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษกเล่ม 13 (พิมพ์ พ.ศ. 2560) มีเรื่องโดยพิสดาร
จักรพรรดิเฉียนหลง
ดังเช่นการที่พระเจ้ากรุงธนส่งทูตไปเพื่อขอให้จักรพรรดิเฉียนหลงพระราชทานตราตั้ง รับรองในความเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศสยาม แต่จักรพรรดิจีนปฏิเสธ เป็นต้น
การที่พระเจ้ากรุงธนต้องการให้จีนมอบตราตั้งให้ ก็เพราะจีนเป็นมหาอำนาจ เหมือนในสมัยนี้ ถ้าสหรัฐอเมริกายอมรับ ก็ราบรื่น
อาจารย์วุฒิชัย กล่าวว่า เมื่อพระเจ้ากรุงธนทรงขอไป พระเจ้าเฉียนหลงมิใช่แค่ปฏิเสธเท่านั้น แต่กลับตำหนิอย่างน่าเกลียดมาก เช่นว่าพระเจ้ากรุงธนนั้นเป็นขุนนางของกษัตริย์แห่งประเทศเซียนหลัว (สยาม) บัดนี้ประเทศนั้นถูก (พม่า) ตีแตก กษัตริย์หายสาบสูญ กลับบังอาจฉกฉวยโอกาสที่ประเทศอยู่ในอันตรายและปั่นป่วนยุ่งเหยิง คิดตั้งตนเป็นใหญ่ และหวังได้รับตราตั้งโดยมิชอบ เพื่อเป็นเครื่องมือตั้งตนเหนือผู้อื่น มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้ำพระทัยของเจ้านายเก่า อีกทั้งมิได้สืบหาองค์รัชทายาท เพื่อกอบกู้ชาติและโจมตีศัตรู จึงเป็นการผิดคุณธรรม จริยธรรม และทำตนเกินศักดิ์
นอกจากนั้นยังตำหนิว่าพื้นเพเดิมของพระเจ้ากรุงธนเป็นชาวจีน ย่อมรู้ดีถึงคุณธรรม จริยธรรม อันเป็นธรรมสูงสุด แล้วจะไม่เคยทราบหลักคำสอนเรื่องการกำหนดสถานะบุคคลตามความสำคัญ ซึ่งไม่มีการผ่อนปรนให้แก่ผู้ที่ก้าวล่วงโดยมิชอบในสถานภาพของตนเองเป็นอันขาดหรือ
ต่อมาพระเจ้ากรุงธนทรงทราบว่าอุปสรรคที่ทำให้จักรพรรดิจีนปฏิเสธความสัมพันธ์อันดี เนื่องจากได้ข้อมูลฝ่ายต่อต้านที่เมืองพุทไธมาส หรือฮาเตียน (ในดินแดนเวียดนาม) คือเจ้าจุ้ย และเจ้าศรีสังข์ ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา พร้อมด้วยพระยาราชเศรษฐี เจ้าเมืองพุทไธมาส (คนนี้บิดาเป็นจีน มารดาเป็นญวน) พระเจ้ากรุงธนจึงจะแต่งทัพไปปราบเมื่อมีโอกาส แต่การเดินทัพไปพุทไธมาส สะดวกที่สุดคือผ่านเขมร แต่กษัตริญเขมร (นักองตน) ไม่ยอมให้ไทยผ่าน พระเจ้ากรุงธนจึงส่งพระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง ต่อมาคือรัชกาลที่ 1) ไปตีเขมร แต่ถอยทัพกลับก่อน เพราะมีข่าวลือว่าพระเจ้ากรุงธนสวรรคต ที่นครศรีธรรมราช ต่อมาพระเจ้ากรุงธนจึงลงไปตีเองและเอาชนะได้ หมดเสี้ยนหนามด้านต่างประเทศ ทำให้ท่าทีของจักรพรรดิจีนที่มีต่อพระเจ้ากรุงธนเริ่มดีขึ้น
อาจารย์วุฒิชัย สรุปว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนทรงรีรอการถวายเครื่องราชบรรณาการจีนจนถึง พ.ศ. 2324 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้นเชิงทางการทูตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธน ในที่สุดจักรพรรดิเฉียนหลงต้องยอมอ่อนข้อให้
พ.ศ. 2324 จักรพรรดิเฉียนหลงให้การรับรองฐานะ พระราชทานตราตั้งให้พระเจ้ากรุงธน แต่ใบตราตั้งกว่าจะถึงพระหัตถ์พระเจ้ากรุงธนก็สายไปเสียแล้ว เพราะคณะราชทูตเดินทางจากกรุงปักกิ่งมายังเมืองกว่างโจว ใช้เวลานานผิดปกติ โดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เดินทางกลับกรุงธนบุรีไม่ได้ เพราะลมเปลี่ยนฤดูแล้ว แต่ทูตชุดที่ 2 ที่มีหลวงนายฤทธิ์เป็นอุปทูต เดินทางกลับถึงปากน้ำเมืองสมุทรปราการหลังการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ราว 3 เดือน เป็นไปได้ว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนทรงส่งทูตไปติดตามและได้เข้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย
แช่แต้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงขึ้นครองราชย์ต่อ ทรงแจ้งไปยังจีนว่า พระองค์เป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธน เพราะจากประสบการณ์ที่ได้รับรู้มาตลอดถึงปัญหาการเปลี่ยนราชวงศ์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้องแจ้งจีนเช่นนั้น เพื่อให้จักรพรรดิเฉียนหลงยอมรับและพระราชทานตราตั้งโดยไม่มีปัญหา ในการนี้รัชกาลที่ 1 ทรงใช้แซ่เจิ้ง หรือแซ่แต้ ตามแซ่สมเด็จพระเจ้ากรุงธน และรัชกาลต่อๆ มาก็ทรงใช้แซ่แต้ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก็ทรงใช้แซ่แต้ และทรงยุติการจิ้มก้องจีนใน พ.ศ. 2396
สุดท้ายอาจารย์วุฒิชัยให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ถ้าไม่มีสมเด็จพระเจ้ากรุงธน ก็ไม่รู้ว่าบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร การที่ทรงรวบรวม สร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก บางอย่างที่เรารับรู้เช่นความ
เข้มแข็งเด็ดขาดก็เพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น ส่วนที่มีปัญหาตอนปลายรัชกาลนั้น เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเพราะทรงตรากตรำการงานหนักมาก สิ่งที่ทำบางเรื่องอาจฝืนจิตใจของพระองค์ จึงหันมาทางศาสนาซึ่งเป็นทางออกทางหนึ่งที่จะทำให้จิตใจสงบ (ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูก) แต่ที่เกิดปัญหาเพราะขาดคำแนะนำที่ดีที่ถูกต้องก็ได้ แต่โดยภาพรวมถ้าบ้านเมืองเราไม่มีสมเด็จพระเจ้ากรุงธน ไม่รู้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องชาติกำเนิดสมเด็จพระเจ้ากรุงธนนั้น อาจารย์วุฒิชัยบอกว่าเป็นบุตรจีนอพยพที่มาตั้งรกรากที่อยุธยา แซ่เดิมของท่านออกเสียงตามแต้จิ๋วว่าแซ่แต้ แต่ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่าแซ่เจิ้ง รัชกาลที่ 1-2-3-4 ทรงใช้แซ่แต้ด้วย ดังนั้นถ้าพูดตามหลักฐานในพระราชพงศาวดาร พูดได้ว่าราชวงศ์จักรีคือแซ่แต้ ซึ่งไม่ผิด แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


