เก้าอี้ประธานกฎหมายกกต. ชนวนร้าวฉานในสนช.
ถนนสายการเมืองเวลานี้ต่างมุ่งตรงมาที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.กันอย่างคึกคัก
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ถนนสายการเมืองเวลานี้ต่างมุ่งตรงมาที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจากมีกฎหมายสำคัญหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.กันอย่างคึกคัก
เริ่มตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ที่การตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อดำเนินการอย่างเป็นกิจจะลักษณะในแต่ละด้าน
ร่างกฎหมายกำหนดให้ต้องมีแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านสังคม และด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยจะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านเพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ
หรือจะเป็นร่าง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ โดยกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องไม่น้อยกว่า 20 ปี การประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติให้ทำเป็นประกาศพระบรมราชโองการและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้ และหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ การกำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีก่อนจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
ขณะเดียวกัน ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็เข้าสู่ สนช.เช่นกัน นำร่องโดยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่ง สนช.รับหลักการในวาระที่ 1 แล้ว และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ
ไฮไลต์สำคัญของร่างกฎหมายเลือกตั้งเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาของร่างกฎหมาย แต่กลับอยู่ที่ความร้าวฉานที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ในสภา โดยกับเลือกตำแหน่ง "ประธานคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต."
เดิมทีในสภาตกลงกันเป็นการภายในแล้วว่า “นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์” จะทำหน้าที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายจาก “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธาน สนช.ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการศึกษากฎหมาย กกต.มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ยังไม่ประกาศใช้
อีกทั้งหมอเจตน์ยังเป็นคนที่ทำหน้าที่ประสานงานรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิก สนช.ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย กกต.ตลอด จึงทำให้หมอเจตน์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับการขึ้นเป็นผู้ควบคุมกฎหมาย กกต.
ทว่า ทำไมจึงมาเกิดการเปลี่ยนตัวกันกลางอากาศด้วยวิธีการพิเศษก่อนที่เก้าอี้ประธานคณะ กมธ.วิสามัญฯ จะตกเป็นของ “ตวง อันทะไชย” ไปแบบคาดไม่ถึง
เรื่องของเรื่องมาจากการประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯ นัดแรก เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเลือกประธาน รองประธาน เลขานุการ โฆษกคณะ กมธ. ซึ่งวินาทีก่อนจะเปิดประชุมนั้นชื่อประธานคณะ กมธ.ยังเป็นชื่อ "นพ.เจตน์" แต่เมื่อถึงเวลาประชุมกลับมีการอ้างคำพูดจากผู้ใหญ่ในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวประธานคณะ กมธ.วิสามัญฯ มาเป็น “ตวง”
การดำเนินการในลักษณะฉุกละหุกเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะตามปกติแล้วหาก คสช.จะมีนโยบายอะไรลงมายัง สนช. จะดำเนินการประสานมายังประธาน สนช.ก่อนที่จะส่งต่อข้อความของ คสช.มาถึงคณะกรรมการประสานงานกิจการ สนช.(วิป สนช.) เพื่อกระจายมาถึงสมาชิก สนช.ต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมาก
หากจะวิเคราะห์ถึงเหตุผลในการเปลี่ยนตัวขุนศึกครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องความหวาดระแวงสมาชิก สนช.ใน "กลุ่ม 40 สว." ซึ่งหมอเจตน์เองก็อยู่ในกลุ่มดังกล่าว แม้ตวงเมื่อครั้งเคยเป็น สว.ก็อยู่ในกลุ่มทำงานร่วมกับ 40 สว.มาก่อน แต่มาระยะหลังก็ห่างไปพอสมพอควร
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าสมาชิก สนช.ที่อยู่ในกลุ่ม 40 สว.เป็นกลุ่มสมาชิก สนช.ที่ค่อนข้างมีความเป็นเอกเทศไม่ได้ขึ้นตรงกับ คสช.มากนัก
โดยมีหลายครั้งที่กลุ่ม 40 สว.แสดงอาการดื้อกับ คสช.หลายครั้ง อาทิ การสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินที่คนของ คสช.พยายามดันคนที่ไม่ผ่านคัดเลือกในรอบแรกให้มาสมัครอีกครั้ง ไปจนถึงกรณีร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ซึ่งกลุ่ม 40 สว.ออกไปในทางสนับสนุนกลุ่มภาคประชาชน
ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ คสช.จึงไม่วางใจให้สมาชิก สนช.กลุ่ม 40 สว.เท่าไรนัก เพราะ คสช.ยอมให้ “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม” สมาชิก สนช.กลุ่ม 40 สว.เป็นประธานคณะ กมธ.วิสามัญฯ กฎหมายพรรคการเมืองแล้ว หากให้หมอเจตน์อีกอาจทำให้ คสช.คุมการออกแบบกติกาการเลือกตั้งได้ยากขึ้น
เมื่อ คสช.เองให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในอนาคต จึงจำเป็นต้องเอาคนที่ไว้ใจได้มาทำงานใหญ่ เพื่อให้สะดวกต่อการติดต่อประสานงานกันในระยะยาว


