รอยตีนพระเจ้าที่เราลืม
ช่วงสงกรานต์ผมไปขึ้นเขาล้อมหมวก ที่ จ.ประจวบฯ กะว่าจะไปไหว้รอยพระพุทธบาทบนยอด ซึ่งไม่เหมือนใครๆ เขาที่ขึ้นไปดูวิว
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ช่วงสงกรานต์ผมไปขึ้นเขาล้อมหมวก ที่ จ.ประจวบฯ กะว่าจะไปไหว้รอยพระพุทธบาทบนยอด ซึ่งไม่เหมือนใครๆ เขาที่ขึ้นไปดูวิว ปรากฏว่าช่วงเทศกาลมีคนขึ้นไปมาก ได้สวดมนต์ถวายนิดหน่อย เพราะมีบางคนไปนั่งหลบแดดในมณฑป แถมบางคนยังนั่งบนขอบพระพุทธบาทโดยไม่รู้ตัวอีก ซึ่งโทษเขาไม่ได้เพราะคงไม่ทราบ ผมอยากจะแนะเจ้าหน้าที่ให้ดูแลสักหน่อย แต่พอลงเขาแล้วก็ไม่ได้ทำ
พระพุทธบาทบนเขาล้อมหมวกมีลักษณะเป็นหินแกรนิตซึ่งเป็นหินคนละประเภทกับเขาล้อมหมวก ยาวประมาณ 1.40 เมตร กว้าง 50 ซม. หนา 13 ซม. แถมรอบพระบาทยังแตกเป็น 4 ชิ้น เคยสูญหายไปจนกระทั่งปี 2532 ทางกองบินน้อยที่ 5 เจ้าของสถานที่ อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นสู่ยอดเขา พอจะหาหินมารองก็พบว่าหิน 4 ก้อนต่อเป็นรูปรอยพระพุทธบาทโดยบังเอิญ
ดูเผินๆ ไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ถ้าเพ่งดีๆ จะเห็นเป็นรอยนิ้วกับร่องประทับพระบาทพอสมควร แต่สึกหรอไม่น้อย
พระพุทธบาทบนเขาล้อมหมวกมีที่มาคลุมเครือ บางคนว่าสร้างสมัยรัชกาลที่ 4 คงเมื่อครั้งเสด็จฯ มาทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ แต่ผมว่าคงไม่ทรงเสียเวลามาสร้างอะไรยากๆ ในเวลาสำคัญแบบนั้นกระมัง
ตอนที่ผมเตร่อยู่บนยอดเห็นก้อนอิฐแผ่นใหญ่ฝังในดินดูปราดเดียวนึกถึงอิฐสมัยโบราณ พอมาค้นฐานข้อมูลของกรมศิลปากร ก็พบว่า ตรงกัน คือ “พบเศษอิฐเป็นจำนวนมาก เป็นอิฐขนาด 16 x 28 x 4.5-6 ซม. เป็นอิฐที่นิยมใช้ในการก่อสร้างโบราณสถานสมัยปลายอยุธยา- รัตนโกสินทร์ตอนต้น แนวอิฐที่พบอยู่ใต้ผิวดินประมาณ 5-10 ซม. หนา 2 ชั้น อิฐก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 2.5 เมตร มีร่องรอยสอปูนตำ”
แสดงว่าบนยอดเขาล้อมหมวกมีรอยพระพุทธบาทมาแต่เดิม น่าจะสร้างสมัยอยุธยาด้วยซ้ำ แถมยังมีการสร้างโบราณสถานขนาดพอควร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแม้ปัจจุบันนี้จะขึ้นไปก็ลำบากพอควร
ทางกรมศิลป์บอกว่า เมื่อราวร้อยปีมานี้ยังมีผู้ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเป็นประจำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จนหลังจากปี 2465 เมื่อมีการตั้งกองบิน บริเวณนี้เป็นเขตหวงห้าม จึงไม่มีผู้ขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทอีก จนกระทั่งพบอีกครั้งในปี 2532
ที่ผมสงสัย คือ รอยพระพุทธบาท จะเป็นของสมัยใดกันแน่ ดูแปลกตาเหลือเกิน แต่ดูสภาพภูเขาแล้ว หากเป็นรอยพระพุทธบาทจำลอง ก็คล้ายจะจำลองเขาพระบาทสุมนกูฏที่เมืองลังกา เพราะขึ้นไปแสวงบุญยากเครือๆ กัน ทั้งภูเขายังมีรูปทรงคล้ายกัน ผิดกันก็แต่เขาล้อมหมวกมีการขึงเชือกมนิลาช่วยไต่ ส่วนเขาเขาสุมนกูฏที่เมืองลังกาใช้โซ่
ชาวประจวบฯ ท่านไหนทราบตำนานพระพุทธบาทเขาล้อมหมวก บอกกล่าวกันได้นะครับ
ว่าด้วยเขาพระบาทสุมนกูฏที่เมืองลังกาสักนิด
ยอดเขาสุมนกูฏ หรือ สมันตกูฏ หรือยอดศรีปาทะ อยู่ใกล้เมืองรัตนปุระ ประเทศศรีลังกา รอยพระพุทธบาทแห่งนี้มีความสำคัญยิ่ง ในคัมภีร์สมันตกูฏวัณณนา อธิบายตำนานเขาสุมนกูฏ ระบุว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมายังลังกา 3 ครั้ง และประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในการเสด็จครั้งที่ 3
แต่ชาวศาสนาอื่นเชื่อว่าเป็นรอยตีนของอาดัมตอนที่พระเจ้าไล่จากสวนสวรรค์มาทรมานบนโลก จึงเรียกว่า ยอดเขาอาดัม (Adam’s peak)
ชาวพุทธเรียกว่า ศรีปาทะ หรือ ตีนอันเป็นศรี คือบาทพระเจ้า
ในคัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกา และบันทึกประวัติศาสตร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ระบุว่า “ศรีปาทะ” ไม่ได้มีแค่ “ปาทะ” หรือ พระบาทเดียว แต่พระพุทธเจ้าในอดีตทรงมาประทับไว้ก่อนแล้ว ดังในยุคพระกกุสันธะ คราเกาะลังกามีชื่อว่า “โอชทีป” เสด็จมาที่ยอดเขา “เทวกูฏ” ต่อมาในยุคพระโกนาคมนะ ครานั้นเกาะลังกามีชื่อว่า “วรทีป” เสด็จมาที่ยอดเขา “สุมนกูฏ” ต่อมาในยุคพระกัสสปะ เกาะลังกามีชื่อว่า “มัณฑทีป” เสด็จมาที่ยอดเขา “สุภกูฎ” จนถึงยุคพระศากยมุนี โคตมะ ครานั้นเกาะลังกามีชื่อว่า “ตัมพปัณณิทีป” เสด็จมาที่ยอดเขา “สุมนกูฏ” (*ข้อมูลจากเรื่อง พระบาทลังกา 4 รอย ของ พิชญ์ชาญ วงศาโรจน์)
คำว่า “ตัมพปัณณิทีป” หรือ “ตัมพปัณณินคร” เป็นชื่อของลังกาเมื่อราว พ.ศ. 1-38 เมื่อครั้งเจ้าชายวิชัยจากอินเดียใต้ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ของชาวสิงหล
แต่โบราณกษัตริย์ลังกาจะเสด็จมาสักการะรอยพระพุทธบาทพร้อมสมโภชอย่างมโหฬาร ไม่เพียงแต่กษัตริย์ลังกา แม้แต่กษัตริย์ในสุวรรณภูมิล้วนปรารถนาจะมาสักการะมหาบรรพตแห่งนี้สักครั้ง ดังมีเชื้อพระวงศ์สุโขทัย คื อเจ้าศรีศรัทธาราชุฬามณี เสด็จมาสักการะแลพิมพ์รอยพระบาทกลับไปสุโขทัย ก่อนกลับยังทรงให้ช่างสลักรูปของพระองค์กับรูป “ธรรมราชา” ที่คาดว่าเป็นพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) เอาไว้ แต่ทุกวันนี้ปรากฏแต่รูปธรรมราชา
แต่เดิมรอยพิมพ์รอยพระพุทธบาทจากเขาสุมนกูฏ อยู่ที่เขาชื่อเดียวกัน คือ เขาสุมนกูฏ ในปัจจุบันเรียกว่าเขาพระบาทใหญ่ อยู่นอกเมืองสุโขทัย ต่อมาเมื่อปี 2470 พระครูวินัยสาร เจ้าคณะแขวง ในขณะนั้นได้อัญเชิญรอยพระพุทธบาทมาประดิษฐาน ณ เกาะกลางน้ำ วัดตระพังทอง และจัดให้มีงานปิดทอง ในเดือน 4 ทุกปี
ต่อมาในสมัยอยุธยาก็ยังมีจารึกแสวงบุญจากสุวรรณภูมิไปสักการะ “รอยตีนพระเจ้า” ที่เขาสุมนกูฏกันอยู่ จนกระทั่งคณะสงฆ์จากอยุธยาสมัยพระเจ้าทรงธรรม ได้รับการบอกกล่าวจากพระสงฆ์ชาวลังกา ว่า รอยพระพุทธบาทนั้นที่สุวรรณภูมิก็ปรากฏอยู่เช่นกัน ณ เขาสุวรรณบรรพต ครั้นกลับมาถึงอยุธยาแล้วความทราบถึงพระเจ้าทรงธรรม จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้ค้นหา จนพบรอยพระพุทธบาทที่ จ.สระบุรี ในกาลต่อมา
หลังจากนั้นการจารึกแสวงบุญของชาวสุวรรณภูมิยังเขาสุมนกูฏก็เลือนหายไปจากความทรงจำ เหลือแต่ความปรารถนาที่จะไปสักการะพระทันตธาตุที่เมืองแคนดีกันเท่านั้น ดังปรากฏว่าแม้แต่วชิรญาณภิกขุ หรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงปรารถนาจะไปสักการะพระเขี้ยวแก้วถึงลังกา แต่รัชกาลที่ 3 ทรงทัดทานไว้
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า หาก “รอยตีนพระเจ้า” ที่เขาล้อมหมวกเก่าถึงสมัยอยุธยาจริง อาจเป็นคติเดิมของการไหว้พระสุมนกูฏหรือเปล่าหนอ


