posttoday

เมืองของผู้คน กำเนิดความคิด

09 เมษายน 2560

ตอนที่แล้วได้เล่าถึงแนวคิด “คน” คือหัวใจของเมืองน่าอยู่ และการมาบรรยายโดยตัวพ่อของโลกในเรื่องการออกแบบ

โดย...อาทิตย์ โกวิทวรางกูร เครือข่ายมักกะสัน [email protected]

ตอนที่แล้วได้เล่าถึงแนวคิด “คน” คือหัวใจของเมืองน่าอยู่ และการมาบรรยายโดยตัวพ่อของโลกในเรื่องการออกแบบและพัฒนาเมือง อย่าง ญาน เกห์ล (Jan Gehl)

วันนี้จะพาท่านย้อนอดีต ขุดรากเหง้าความคิดของเขา ว่าเป็นไงมาไง ทำไมเขาถึงเชื่อว่า “คน” ต้องเป็นศูนย์กลาง

ญาน เกห์ล เกิดปี 1936 บนเกาะแห่งหนึ่งของประเทศเดนมาร์ก ไม่กี่ปีต่อมาครอบครัวได้ย้ายไปเมืองโคเปนเฮเกน ที่ซึ่งเขาใช้ชีวิตวัยเด็ก เรียนหนังสือ และเติบโต จนเรียนจบระดับปริญญาตรีและโทสาขา
สถาปัตย์ ในปี 1960

1961 หนึ่งปีหลังเรียนจบ เขาแต่งงานกับ Ingrid Mundt ซึ่งจบจิตวิทยา

เส้นทางชีวิตเขาเปลี่ยนไปนิรันดร์ เพราะเธอคนนี้

ภรรยาของเขา (และเพื่อน ซึ่งมีทั้งนักจิตวิทยา นักสังคมวิทยา และหมอ) โยนคำถามใส่เขาเสมอ

“ทำไมพวกสถาปนิกถึงไม่สนใจผู้คน”

“ทำไมโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนวิชาสถาปัตย์ ไม่ยอมสอนอะไรเกี่ยวกับคนเลย”

หรือ “คุณคิดยังไงกับการที่สถาปนิกตื่นเช้าตรู่ เพื่อไปถ่ายรูปงานสถาปัตย์ให้รูปออกมาสวยๆ ... สวยแบบไม่ต้องมีผู้คนมากีดขวางเกะกะในภาพ”

โดนยิงคำถามแบบนี้ คงเก็บไปคิดใคร่ครวญ

สิ่งใดสำคัญกว่า?

อาคาร หรือ ผู้คน

คำถามจากภรรยา เป็นเชื้อที่เข้าร่างเขาไปแล้ว มันใช้เวลาอีกสักสองสามปีในการฟักตัวและแพร่กระจาย ควบคู่กับประสบการณ์ทำงานในชีวิตช่วงต้น และกระแสการเปลี่ยนแปลงในเมืองโคเปนเฮเกน หล่อหลอมให้ชีวิตเขาชัดเจน ว่าจะมุ่งไปที่ “ผู้คน”

สองปีแรก เขาทำงานกับบริษัทสถาปนิกบ้านและที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเอา “ผู้อยู่อาศัย” เป็นศูนย์กลาง ... ถัดมาเขาไปร่วมงานกับสองสถาปนิกที่เน้นการบูรณะซ่อมแซม โดยเฉพาะการออกแบบและก่อสร้างโบสถ์ (เรื่องนี้เป็น Passion ของเขา แม้ต่อมางานหลักเขาคือเมืองกับผู้คน แต่เขายังเก็บงานนี้ไว้ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ เพิ่งจะมาเลิกเอาในทศวรรษ 1990 หรือเกือบ 30 ปีให้หลัง)

ช่วงนั้นเอง เขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบที่อยู่อาศัยโปรเจกต์หนึ่ง โดยเจ้าของโครงการมีอุดมการณ์อันแรงกล้า ที่จะพัฒนามันให้ดีสำหรับผู้คน (Good for People) ...นับเป็นความท้าทายยิ่ง เนื่องจากในยุคสมัยนั้น แทบไม่มีใครมุ่งเป้าในทางนี้ สถาปนิกอย่างเขาต้องขอความช่วยเหลือจากนักสังคมวิทยา (Sociologist) แม้จะมาพบในภายหลังว่า นักสังคมวิทยาก็แทบไม่รู้อะไรเหมือนกัน เกี่ยวกับรูปแบบที่อยู่อาศัยที่ดีต่อผู้คน

ประสบการณ์นั้น เปิดโลกให้เขาเห็นความสำคัญของการบูรณาการองค์ความรู้ข้ามสาขา ระหว่าง “สถาปัตยกรรม” และ “สังคมศาสตร์” เพื่อทะลุกรอบสู่ความรู้ใหม่

(สุดท้ายโครงการนั้น Amtsstuegarden ที่ออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารเตี้ย อยู่รายรอบพื้นที่สาธารณะส่วนกลาง ก็ไม่ได้คลอด เพราะเห็นว่าล้ำสมัยเกิน เสี่ยงไปสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม)

แต่จุดที่นำเขา - สถาปนิกที่เริ่มเอาคนเป็นศูนย์กลาง - มาลงเอยที่พื้นที่เมือง คือสถานการณ์ของโคเปนเฮเกนใน ค.ศ.นั้น ที่มีการต่อสู้กันทางความคิด เพื่อไม่ให้เมืองถูกรถยนต์ยึดครอง นำมาซึ่งการตัดสินใจทดลองเปลี่ยนถนนเส้นหลักของเมือง ให้เป็นถนนคนเดิน ในปี 1962

นั่นจุดประกายให้เขาสนใจผู้คน ในสภาพแวดล้อมของเมือง

เขาต้องการหา “ต้นแบบ” ในการศึกษา - ที่ไหน? เมืองใดในโลก? ที่เหมาะสมกับผู้คนจริงๆ

“If anything at all could be found about people in the cities, it had to be in Italy”

พวกเขาเชื่อว่า อิตาลี น่าจะมี “คำตอบ” ที่รอการค้นพบ

ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1965 ญานและอินกริด ภรรยาของเขา ได้รับทุนวิจัย จาก The New Carlsberg Foundation เพื่อบินไปศึกษา “การใช้พื้นที่สาธารณะ” และ “ชีวิตสาธารณะประจำวัน” ในบางเมืองของอิตาลี (ได้แก่ Lucca, Ascoli Piceno, Martina Franca และ Rome)

เขาใช้เวลา 6 เดือน นั่งสังเกตชีวิตประจำวันของคนอิตาลีในพื้นที่สาธารณะ แบบละเอียดยิบ เพื่อให้เข้าใจว่า “อะไรเวิร์ก หรือไม่เวิร์ก” ... ในการออกแบบเมือง

เขาสนใจมาก ว่าผู้คนนั่ง ยืน และพูดคุย ที่ตรง “จุดไหน” (Where) ในพื้นที่สาธารณะและ “เพราะอะไร” กันแน่ (Why)

ในอิตาลีนั้นเอง พวกเขาได้ทดสอบหลากหลายวิธีในการบันทึก (Recording) และทำแผนผังตำแหน่ง (Mapping) กิจกรรมของผู้คน

เขาเริ่มเจาะดูไอ้ตรงที่เวิร์ก มันเวิร์กอย่างไร และเป็นเพราะเหตุปัจจัยอะไร ... แล้วบันทึกอย่างละเอียด

ละเอียดที่ว่า รวมไปถึงข้อมูลสถิติตัวเลข เช่น จำนวนของคนที่นั่งและยืน ในแต่ละจุด ของพื้นที่สาธารณะนั้น (เพื่อเปรียบเทียบความนิยมในการใช้งาน ... ในที่นี้เขาเลือกจัตุรัสกลางเมือง ที่อิตาลีเรียกว่า Piazza เป็นพื้นที่ศึกษา) หรือจำนวนของผู้คนเดินเท้าในถนนเส้นต่างๆ

(ตัวอย่างสมุดบันทึกช่วงนั้นอยู่ในรูปประกอบ อีกภาพจากหนังสือพิมพ์อิตาลีรายงานข่าวนักศึกษาหนุ่ม นั่งสังเกตการณ์ในเมือง เป็นที่สงสัยของคนอิตาลีในเมืองนั้น)

ตรงนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของแนวทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา คือการ “วัดออกมาเป็นตัวเลข” ... และด้วยวิธีแบบนี้เอง ที่ทำให้เขาต่อกรกับผู้กำหนดนโยบายได้ เพราะมีผลลัพธ์เปรียบเทียบก่อนหลังชัดเจน และพูดในภาษาที่ผู้กำหนดนโยบายเข้าใจ และสามารถนำไปแสดงต่อประชาชนได้อีกด้วย

การค้นพบที่อิตาลี ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในงานของเขาในการต่อมา

เช่น การจำแนกกิจกรรมของคนในพื้นที่สาธารณะ ออกเป็นหมวดหมู่ อาทิ กิจกรรมจำเป็น (Necessary) หรือกิจกรรมทางเลือก (Optional)

การค้นพบว่าผู้คนชอบไปกระจุกตัวที่พื้นที่ “ขอบ” (The edge) ของพื้นที่สาธารณะ (ในกรณีนี้คือจัตุรัส) เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ และดูผู้คนผ่านไปมา รวมทั้งดูกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณนั้น

หกเดือนที่อิตาลี ได้กลายมาเป็นห้วงยามกำหนดชีวิต (Defining Moment) ของญาน เกห์ล แบบเดียวกับที่ทริปมิลาน อิตาลี ของ Howard Schultz ได้กลายมาเป็นห้วงยามกำหนดชีวิตของเขาและ Starbuck (ที่ ณ วันนั้นเน้นขายเมล็ดกาแฟดีๆ ไม่ได้เป็นร้านกาแฟอย่างในระยะหลัง) เมื่อเขาได้สังเกตเห็นร้านกาแฟอยู่ทั่วทุกมุมถนน และร้านกาแฟไม่ได้ขายแต่กาแฟ แต่ยังเป็นสถานที่พบปะทางสังคม ซึ่งในมโนภาพของเขาเห็นภาพ Starbuck ทำหน้าที่แบบร้านกาแฟในอิตาลี กระจายตัวไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก แบบทุกวันนี้

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ