ธุรกิจบัณฑิตปรับตัว รับเทรนด์สตาร์ทอัพ
การผลักดันประเทศไทยให้ไปสู่ประเทศไทย 4.0 ได้นั้น ปัจจัยสำคัญก็คือต้องมีบุคลากรพร้อมรับมือการปรับตัว
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์
การผลักดันประเทศไทยให้ไปสู่ประเทศไทย 4.0 ได้นั้น ปัจจัยสำคัญก็คือต้องมีบุคลากรพร้อมรับมือการปรับตัว ดังนั้นสถาบันการศึกษาจะเป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
สิริเกียรติ์ บุญวรเศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริดจ์ คอนซัลติ้ง และกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดเผยว่า ได้ปรับหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด ความสำเร็จ ไม่ต้องรอให้เรียนจบ เริ่มใช้ตั้งแต่ผู้เข้าเรียนใหม่ในปีการศึกษา 2560 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม โดยหลักสูตรใหม่จะเน้นสร้างบุคลากรเพื่อเป็นผู้เริ่มต้นธุรกิจด้วยเทคโนโลยี (สตาร์ทอัพ) บุคลากรที่ทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพ หรือทำงานให้องค์กรต่างๆ
“10 ปีที่ผ่านมาหลักสูตรในมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนมาก ยังเน้นหลักสูตรเพื่อปั้นบุคลากรป้อนองค์กรใหญ่ตามแนวทางประเทศไทย 3.0 คือขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคอุตสาหกรรม”
มุมมองของบริษัท ในฐานะผู้ให้คำปรึกษาพัฒนาหลักสูตร เห็นว่า หากไม่มีนวัตกรรม ประเทศไทยก็อยู่ไม่รอด ถ้าเป็นองค์กรใหญ่สร้างนวัตกรรมใหม่ยากหากยังทำธุรกิจติดกับกรอบเดิมๆ จะเห็นได้จากองค์กรใหญ่จำนวนมากแยกหน่วยธุรกิจหรือตั้งบริษัทย่อยเพื่อสร้างสตาร์ทอัพ ดังนั้นจึงสร้างหลักสูตรใหม่ให้สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงเน้นสร้างบุคลากรที่จะไปปฏิวัติระบบการทำแบบเดิม
สำหรับหลักสูตรใหม่นี้จะเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอน จากเดิมชั้นปีที่ 1 เป็นการเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปซึ่งนำไปใช้งานจริงไม่ได้ แล้วปีที่ 2-4 ค่อยเรียนลงลึกในสาขาที่เรียนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นปีที่ 1 เรียนและฝึกการใช้งานเกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) ฐานข้อมูลขนาดใหญ่(บิ๊กดาต้า) สิ่งเสมือนจริง (เวอร์ชวล เรียลิตี้) เป็นต้น ซึ่งนักศึกษาไม่ว่าคณะไหนจะต้องฝึกเขียนโปรแกรมง่ายๆ เพราะการเขียนโปรแกรมเป็นรากฐานสำคัญสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างสตาร์ทอัพให้ได้
พร้อมกันนี้ จะดึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจตั้งแต่อายุน้อยวัยเดียวกับนักศึกษา เช่น นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 25 ปี มาเล่าแนวทางที่ทำให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงสิ่งที่เคยทำแล้วล้มเหลว เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาค้นหาตัวเองว่าอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร โดยเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ตรง
ทั้งนี้ คาดหวังว่าหลังปรับหลักสูตรแล้ว เมื่อนักศึกษาขึ้นสู่ชั้นปีที่ 2 จะต้องเขียนแผนธุรกิจ แผนระดมทุน แผนตลาดเพื่อสร้างสตาร์ทอัพได้ เมื่อขึ้นปีที่ 3 ต้องทดลองสร้างสตาร์ทอัพจริง ซึ่งอาจไม่ได้เป็นสตาร์ทอัพที่ระดมทุนมากๆ แต่เป็นธุรกิจเล็กๆ ก็ได้ โดยมองว่าแนวทางนี้จะช่วยนักศึกษาสร้างธุรกิจได้ตั้งแต่ยังเรียนและสามารถต่อยอดธุรกิจต่อไปได้เมื่อจบการศึกษาแล้ว รวมถึงมีประสบการณ์ มีผลงานที่ชัดเจนยื่นสมัครงานกับองค์กรใหญ่ได้ ไม่ได้มีเพียงใบแสดงผลการศึกษาที่บอกว่าได้เกรดเฉลี่ยสูงๆ แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าทำงานได้จริง
นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับหลักสูตรใหม่ จึงปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้โดยเปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นเมกเกอร์ สเปซ คล้ายกับโคเวิร์กกิ้งสเปซ เน้นเป็นพื้นที่ให้ลงมือปฏิบัติจริง มีอุปกรณ์สนับสนุนให้สร้างธุรกิจ เป็นสตาร์ทอัพได้ในระหว่างเรียน เช่น เครื่องพิมพ์ภาพสามมิติ เครื่องสแกนภาพสามมิติ ซอฟต์แวร์ออกแบบสามมิติ เป็นต้น โดยจะมีผู้ให้คำปรึกษาในระหว่างใช้อุปกรณ์ในสถานีต่างๆ ที่มี ทางด้านอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยก็จะปรับบทบาทจากการเป็นผู้สอนผ่านพาวเวอร์พอยต์เป็นผู้ให้คำแนะนำกับนักศึกษาเวลามีปัญหาสงสัย
“ธุรกิจบัณฑิตย์เริ่มวางหลักสูตรใหม่นี้มา 1 ปี ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นเริ่มตื่นตัวปรับหลักสูตรอยู่ คาดหวังว่านักศึกษาที่จบหลักสูตรใหม่จะมีความคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาได้ดี เพราะทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คิดสร้างนวัตกรรม ทำงานในสตาร์ทอัพได้”
สิริเกียรติ์ กล่าวว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าในไทยจะเป็นยุคทองของสตาร์ทอัพแน่นอน เชื่อว่าสตาร์ทอัพจะขยายไปในทุกธุรกิจ จากปัจจุบันยังอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวเลขเป็นหลัก เช่น การเงิน บัญชี โดยเชื่อว่าหลังจากนี้จะมีกลุ่มสตาร์ทอัพเกี่ยวกับธุรกิจการดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว และการศึกษาเกิดขึ้นมากแน่นอน
ขณะที่องค์กรใหญ่ในที่สุดก็จะอยู่แบบเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจ โดยคาดว่าบริษัททั่วโลกที่มีสาขาต้องปิดตัวสาขา 50% ใน 5 ปีข้างหน้า เพราะคนไม่ซื้อสินค้าและบริการตามสาขา แต่ซื้อบนออนไลน์หมดแล้ว ดังนั้นในภาคสถาบันการศึกษาเองหากไม่ปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในที่สุดก็จะต้องปิดตัวลง เพราะสมัยนี้สามารถเรียนผ่านออนไลน์ได้ สอดคล้องกับที่เคยมีผลวิจัยว่ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอย่างน้อย 20% จะต้องปิดตัวลงใน 10 ปีข้างหน้า
สิริเกียรติ์ ยกตัวอย่างว่า สถาบันการศึกษาในต่างประเทศปรับตัวแล้วเพื่อรองรับทิศทางการทำธุรกิจของคนรุ่นใหม่ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างสตาร์ทอัพมากขึ้น เช่น สถาบันการศึกษาชื่อดังสแตนฟอร์ดหรือเอ็มไอทีในสหรัฐที่ปรับชัดเจนมาก เรียกตัวเองเป็นสถาบันปั้นบุคลากรให้มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ ในการเรียนต้องสร้างชิ้นงานใช้ได้จริง ออกไปทำธุรกิจได้จริงเมื่อจบการศึกษา หรือในฟินแลนด์ ที่การเรียนการสอนเป็นแบบใช้สถานการณ์จริงมาสอน ให้นักศึกษาเรียนรู้เองจากสถานการณ์ที่หยิบยกมา แทนที่จะเรียนเป็นวิชาไป
นับเป็นสัญญาณที่ดีที่ภาคการศึกษาตื่นตัว ซึ่งน่าจะช่วยให้ไทยมีบุคลากรพร้อมไปสู่ประเทศไทย 4.0


