รอซ่อม
มันก็แค่ “อ่างล้างหน้า” ที่ใช้งานไม่ได้ จำไม่ได้แล้วว่ามันเริ่มเสียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลองนึกย้อนคร่าวๆ ก็น่าจะเกินปีได้
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
มันก็แค่ “อ่างล้างหน้า” ที่ใช้งานไม่ได้
จำไม่ได้แล้วว่ามันเริ่มเสียมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลองนึกย้อนคร่าวๆ ก็น่าจะเกินปีได้ แต่จะเกินมากหรือเกินน้อยนั้นเป็นเรื่องที่เกินความพยายามจะไปสืบค้นหาคำตอบที่ชัดเจน
รู้แต่ว่า มัน “นาน” จนทุกคนเริ่มชินชา หลายคนเลิกสนใจไยดีกับอ่างล้างหน้าอันนี้ เพราะมันเป็นอ่างล้างหน้าในห้องน้ำที่ซ่อนอยู่ในหลืบลึก ภายในสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นเคยหรือชำนาญพื้นที่คงไม่ง่ายที่จะเข้าถึงห้องน้ำแห่งนี้ จำนวนคนใช้งานจึงน้อยกว่าห้องน้ำอื่นๆ อีกทั้งห้องน้ำแห่งนี้ยังมีอ่างล่างหน้าอยู่ 2 อัน เมื่ออันหนึ่งเสียไป ก็ยังมีทางเลือกให้ใช้ได้อีกอัน
นี่จึงอาจเป็นอีกสาเหตุที่ไม่มีคนเดือดร้อนจนต้องรีบไปแก้ไขซ่อมแซม เอาเข้าจริงคงแทบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าอ่างล้างหน้าอันนี้มันเสียด้วยอาการอะไร หรือเสียเพราะอะไร
รู้อีกทีป้ายกระดาษแข็ง “รอซ่อม” เขียนด้วยลายมือแบบไม่เป็นทางการด้วยเมจิกสีดำ ก็ถูกนำมาวางไว้ในอ่างล้างหน้าชนิดที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
อักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัวแต่ทรงพลังรุนแรง มันทำหน้าที่สื่อสารข้อความทั้ง “ทางตรง” และ “ทางอ้อม” แถมชวนให้ตีความได้หลากหลายมิติและสะท้อนสภาพบริบททางสังคมในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
ประการแรก ข้อความ “รอซ่อม” มันบ่งบอกว่าอ่างล้างหน้าอันนี้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ที่ไม่ต้องไปอธิบายรายละเอียด หรือชี้แจงอาการไม่สมประกอบเพราะคงไม่มีใครจะมาสนใจอยู่แล้ว
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับป้ายประเภทนี้ที่เขียนด้วยข้อความอื่นๆ อาทิ “เสีย” หรือ “ชำรุด” ที่ทำหน้าที่บ่งบอกสภาพความเสียหายเพื่อสกัดกั้นไม่ให้คนทั่วไปมาใช้งาน
ต่างจากป้าย “ท่อตัน” หรือ “ท่อแตก” ที่นอกจากจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ใครหน้าไหนมาใช้งานแล้ว ยังบ่งบอกรายละเอียดของปัญหาให้ได้รับรู้รับทราบอาการความเสียหายในเบื้องต้นอีกด้วย
ถือเป็นอีกขั้นของการบอกเล่าเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนมาใช้อ่างล้างหน้า ซึ่งจะสุ่มเสี่ยงกับสภาพปัญหาน้ำล้น น้ำรั่ว จนสร้างความเลอะเทอะเปรอะเปื้อนให้กับห้องน้ำทั้งห้อง
มันต่างจากบางอาการ เช่น น้ำไม่ไหล แม้จะไม่มีป้ายแจ้งเตือนไว้ แต่ต่อให้ลองใช้แล้วน้ำไม่ไหลก็ไม่สร้างความเดือดร้อนทางกายภาพจากสภาพน้ำไม่ไหล จะมีเพียงก็แค่เสียอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หรือหากลองแล้วน้ำไม่ไหลบ่อยๆ ก็คงเลิกใช้ไปเองไม่ต้องไปแจ้งเตือนอะไร
ประการต่อมา คำว่า “รอซ่อม” ยังสะท้อนนัยมากกว่าแค่การบอกเล่าอาการเสียหาย แต่ยังอธิบายต่อไปว่า เรื่องนี้เป็นที่ “รับรู้” ของผู้ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ “แก้ไข” ให้กลับมาใช้งานได้ปกติ
อีกด้านยังสะท้อนให้เห็นถึงความเอาใจใส่หรือกระตือรือร้น ที่จะแก้ไขความเสียหาย ไม่ใช่รู้ว่าเสียหายแล้วก็ปล่อยให้เสียไปเรื่อยๆ ตามยถากรรม
แต่อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนและชวนให้ตีความได้ว่า เรื่องความเสียหายนี้เป็นที่ “รับรู้” และกำลังจะ “แก้ไข” แต่ยังไม่อาจแก้ไขได้ด้วยเงื่อนไขใดๆ ก็ตาม
คำว่า “รอ” อีกด้านจึงเสมือนเป็นคำปฏิเสธกลายๆ ว่า ยังไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้อง “รอ”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเทคนิค เช่น ช่างซ่อมยังไม่ว่าง สินค้า วัสดุ อุปกรณ์ที่จะนำมาซ่อมยังขาดสต๊อก ไปจนถึงขาดงบประมาณ ไม่มีเงินมาซ่อมแซมความเสียหายได้ในเวลานี้
ปัญหาอยู่ที่คำว่า “รอ” นี้ มันไม่มีการระบุขอบเขตเวลาให้ชัดเจนว่า ต้องรออีกนานแค่ไหน
นี่จึงอาจเป็นแค่กลยุทธ์การยื้อเวลา ไม่ให้เกิดคนออกมาต่อว่าต่อขานความเสียหาย และทนรับไปกับสภาพตรงหน้าด้วยความหวังที่หล่อเลี้ยงด้วยคำว่า “รอ”
ชวนให้คิดถึงปัญหาอื่นๆ ในสังคมที่เรารับรู้ว่า มันเป็นความ “เสียหาย” จำเป็นต้องซ่อมแซม บางคนอาจไม่รู้ว่ามันเสียหายตรงไหนอย่างไร รู้แค่เสียหายต้องแก้ไข
หลายเรื่องพัฒนาไปสู่กระบวนการเรียกร้อง ทวงถาม “ปฏิรูป” จนผู้มีอำนาจพยายามหยิบฉวยมาใช้ประโยชน์ ทั้งขันอาสาตั้งเป้าจะพาประเทศก้าวพ้นวังวนหล่มปัญหา
กระบวนการแก้ไขต่างๆ เริ่มเดินหน้าไปอย่างแข็งขันผ่านการตั้งกรรมการที่มีชื่อย่อต่างๆ จนจำไม่หวาดไม่ไหว พัฒนาต่อยอดกลายเป็นแม่น้ำสารพัดสายที่สังคมตั้งความหวังรอดูผลงาน
ป้าย “รอซ่อม” ปรากฏให้เห็นในแทบทุกวงการ สะท้อนให้เห็นกลไกความบิดเบี้ยวใช้งานไม่ได้ในหลายพื้นที่
แน่นอนว่าการติดป้ายรอซ่อมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อสิ่งที่ยากกว่าคือการลงมือแก้ไขให้สิ่งเสียหายกลับมาใช้งานได้ และหลายๆ เรื่องที่มีปัญหาค้างคามายาวนาน ก็ยากจะแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว


