posttoday

ราชสกุลในพระบรมราชจักรีวงศ์ (11)

12 มีนาคม 2560

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า กรมพระราชวังหน้า เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่

โดย...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า กรมพระราชวังหน้า เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสา กรมพระยาเทพสุดาวดี และพระอินทรรักษา (เสม) มีพระนามเดิมว่า ทองอิน ประสูติเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล ยังเป็น สัปตศก จุลศักราช 1107 ตรงกับวันจันทร์ที่ 28 มี.ค. 2289 ปีที่ 14 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีพระอนุชาและพระขนิษฐา คือ

1.พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบุญเมือง กรมหลวงธิเบศรบดินทร์ พระนามเดิม บุญเมือง

2.พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าทองจีน กรมหลวงนรินทรรณเรศร์ พระนามเดิม ทองจีน

3.พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าทองคำ กรมขุนเทพนารี พระนามเดิม ทองคำ

นอกจากนี้ พระองค์ยังมีพระอนุชาต่างมารดา ชื่อ พระองค์เจ้าขุนเณร พระองค์เจ้าขุนเณรผู้นี้เป็นนักรบคู่ใจของพระองค์ในการทำศึกตลอดมา พระองค์ผนวช 2 ครั้ง ครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา และผนวชอีกครั้งเมื่อปี 2335 ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

พระองค์รับราชการในสมัยกรุงธนบุรี เป็นหลวงฤทธิ์นายเวร จนกระทั่งปี 2323 ได้เลื่อนเป็นพระยาสุริยอภัย ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา เป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามจลาจลในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรีในปี 2325 โปรดให้สถาปนาพระองค์เป็น สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าทองอิน และได้เลื่อนพระอิสริยยศขึ้นเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมที่ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น “กรมพระ” ดำรงพระเกียรติยศในที่ “กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข” รับพระราชบัญชาตามแนวกรมพระราชวังหลังบวรสถานพิมุข เพียงพระองค์เดียวในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงเป็นทแกล้วทหารหาญพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ได้ร่วมการรณรงค์สงครามกอบกู้เอกราชของชาติไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ในขณะที่ทรงรับราชการในที่พระยาสุริยอภัย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินได้เกิดกบฏพระยาสรรค์ขึ้นในกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระอนุชาธิราช ยังติดภารกิจสงครามที่กัมพูชาก็ได้พระยาสุริยอภัยที่เป็นกำลังสำคัญในการปราบปรามกบฏพระยาสรรค์จนราบคาบ จึงได้มีการปราบดาภิเษกสถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรี

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ได้ร่วมการรณรงค์สงคราม ทั้งโดยเสด็จในทัพหลวง โดยเสด็จในทัพสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และยังได้เป็นแม่ทัพโดยพระองค์เองในหลายครั้งหลายคราว ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารในรัชกาลที่ 1 ความว่า

“พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ได้ทรงทราบข่าวศึกดังนั้น จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ มีกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลังเป็นต้น กับทั้งท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลายพร้อมกัน ดำรัสปรึกษาราชการสงครามเป็นหลายเวลาในลำดับนั้น หนังสือบอกเมืองชุมพร เมืองถลาง เมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมืองนครลำปาง บอกข้อราชการศึกว่า ทัพพม่ายกมาเป็นหลายทัพหลายทาง ทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ แลหนังสือบอกมาถึงเนื่องๆ กัน

สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จพระราชดำเนินพหุโยธาทัพหลวงไปรับพม่าข้าศึกทางกาญจนบุรี โปรดให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ ผู้ว่าราชการที่สมุหนายก คุมกองทัพท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายพระราชวังหลวง แลทัพหัวเมืองทั้งปวง โดยเสด็จพระราชดำเนินอีกทัพหนึ่ง แลทางเหนือนั้นมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฝ่ายหลัง กับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้า กรมหลวงนรินทร์รณเรศ แลเจ้าพระยามหาเสนาบดี ศรีสมุหกลาโหม เจ้าพระยาพระคลัง พระยาอุทัยธรรม แลท้าวพระยาข้าราชการในกรุงฯ แลหัวเมืองทั้งปวง ยกทัพไปทั้งรบพม่า ณ เมืองนครสวรรค์ทัพหนึ่ง...”

นอกจากนี้ พระราชพงศาวดารยังกล่าวไว้ว่า

“ทัพหลวงก็เสด็จพระราชดำเนินหนุนขึ้นไป แล้วดำรัสให้กองทัพสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ยกไปบรรจบกับทัพเจ้าพระยาพระคลัง พระยาอุทัยธรรม ที่ตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชัยนาท ให้ยกขึ้นไปทางปากน้ำโพ ให้ตีทัพพม่าที่มาตั้งค่ายอยู่ ณ บ้านระแหงให้แตกไปโดยเร็ว แล้วทัพหลวงก็เสด็จไปตั้งค่ายอยู่ ณ บางเข้าตอก ให้เรือตำรวจขึ้นไปเร่งกองทัพกรมพระราชวังหลัง และเจ้าพระยามหาเสนาให้ยกเข้าตีพม่า ณ ปากน้ำพิงให้แตกแต่วันเดียวกัน แม้เนิ่นเข้าไปจะเอาโทษถึงชีวิตทั้งสิ้น...ก็ยกพลทหารทั้งปวงเข้าโจมตีค่ายพม่าทุกๆ ค่าย พม่าต่อรบเป็นสามารถ ยิงปืนใหญ่น้อยโต้ตอบกันทั้งสองฝ่ายรบกันแต่เช้าจนค่ำ ด้วยเดชะพระบรมโพธิสมภาร บันดาลให้พวกพม่าสยบสยองย่อท้อเกรงกลัวพระราชกฤษดาเดชานุภาพเป็นกำลัง มิอาจต้านต่อได้ ทัพพม่าก็แตกฉานพ่ายหนีออกจากค่ายทุกค่าย

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบก็ทรงพระโสมนัส...ดำรัสให้ข้าหลวงขึ้นไปเชิญเสด็จกรมพระราชวังหลัง และกรมหลวงนรินทร์รณเรศ ลงมาเฝ้ายังค่ายหลวง...แล้วดำรัสใช้ข้าหลวงไปพากองทัพกรมหลวงเทพหริรักษ์ กลับมายังเมืองนครสวรรค์แล้วก็เสด็จพระราชดำเนินกลับยังพระนครพร้อมกัน”

นอกจากเสด็จร่วมในการศึกสงครามเพื่อปกป้องรักษาเอกราชของชาติอย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอที่ทรงสนิทสนมและรับใช้ใกล้ชิด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากในวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในการเสด็จออกไปทรงทำราชการศึกสงครามที่เชียงใหม่ เมื่อเสด็จไปถึงเมืองเถิน พระองค์ทรงประชวรด้วยพระโรคนิ่วได้รับความทุกข์ทรมานจากพระอาการประชวรนั้นมากอยู่ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ซึ่งโดยเสด็จไปในทัพครั้นนั้นด้วย ก็ได้เฝ้าปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลพระอาการประชวรนั้นอย่างใกล้ชิดและได้นำเสด็จสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท กลับมารักษาพระอาการประชวรต่อยังพระราชวังบวรสถานมงคลในพระนครจนเสด็จสวรรคต

จากพระกรณียกิจในการศึกสงครามรับใช้เบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารนั้น นับได้ว่าพระองค์ได้มีส่วนช่วยกอบกู้อิสรภาพศักดิ์ศรีของประเทศในยุคต้นรัตนโกสินทร์ภายใต้ร่มมหาเศวตฉัตรแห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ฝากพระนามไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลังสืบต่อมาอย่างน่าภาคภูมิ

จากการทุ่มเทพระองค์รับราชการแผ่นดินทำศึกสงครามอย่างเต็มความสามารถตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงพระประชวรและเสด็จทิวงคตเมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล จุลศักราช 1168 ตรงกับวันพุธที่ 17 ธ.ค. 2349 สิริพระชนมายุ 61 พรรษา ในปี 2350 มีพระราชพิธีพระราชเพลิงพระศพ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง โดยพระอัฐิของพระองค์ถูกนำไปประดิษฐานที่หอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระสรีรางคารถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ผ้าทิพย์ ฐานพระประธานภายในอุโบสถ วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าครอกทองอยู่ ข้าหลวงเดิมในเจ้าฟ้าพินทุวดี พระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีพระโอรสและพระธิดารวม 6 พระองค์ โดยยกฐานันดรเป็นพระองค์เจ้า ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบัญญัติให้ใช้คำนำหน้าพระนามว่า “พระสัมพันธวงศ์เธอ”

สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงเป็นต้นราชสกุล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

ข่าวล่าสุด

จ่อตั้ง 1 จังหวัด 1 คลินิก 'การแพทย์แม่นยำ' ถอดรหัสพันธุกรรมโรคมะเร็ง-โรคหายาก