posttoday

ประสานงาน

11 มีนาคม 2560

ความหวังหนึ่งที่น่าจะจุดให้เกิดการลงทุนถึงขั้นอาจจะเป็นโชติช่วงชัชวาลภาคสองได้ เห็นจะเป็นโครงการพัฒนา

ความหวังหนึ่งที่น่าจะจุดให้เกิดการลงทุนถึงขั้นอาจจะเป็นโชติช่วงชัชวาลภาคสองได้ เห็นจะเป็นโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี หลังจากเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 เขตกระจายตามจังหวัดชายแดนต่างๆ ซึ่งรัฐบาลดันไปก่อนหน้านี้ ไม่จูงใจให้เกิดการลงทุนมาก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการรอลุ้นให้ร่าง พ.ร.บ.อีอีซี ซึ่งคาดว่าจะออกมาได้ประมาณกลางปีนี้มาเป็นจุดเริ่มต้นโครงการ ได้เกิดกระแสความไม่มั่นใจว่าโครงการนี้จะยังเดินหน้าเป็นไปทิศทางเดียวกันมากน้อยแค่ไหน เพราะหากบางส่วนของแผนลงทุนไหนต้องล่าช้าหรือสะดุดไป จะทำให้ภาพรวมทั้งหมดกลายเป็นหัวมังกุท้ายมังกรไร้พลังในการดึงดูดให้เกิดการลงทุนตามที่รัฐบาลหวัง

ทั้งนี้ ตามโครงการลงทุนของอีอีซี รัฐบาลตั้งความหวังว่าจะทำให้เกิดการลงทุนมากถึง 1.5 ล้านล้านบาท ภายใน 5 ปี ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ปีละ 5% หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยน้อยมากปีละแค่ 2-3% อัตราเติบโตอยู่ในกลุ่มท้ายๆ ของกลุ่มอาเซียน รวมทั้งหวังให้เกิดการจ้างงานใหม่ปีละกว่า 1 แสนอัตรา เพิ่มฐานภาษีใหม่มากขึ้น เพิ่มนักท่องเที่ยวขึ้นปีละ 10 ล้านคน นอกจากนี้จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งลงปีละ 4 แสนบาท เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยหากโครงการนี้จูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนขยายตัวได้ปีละ 10% จะทำให้จีดีพีไทยขยายตัวได้ปีละ 5% กลับไปเต็มศักยภาพพื้นฐานของเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับสัญญาณที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับโครงการอีอีซี จะมาจากการผลักดันโครงการนำร่อง 5 โครงการ คือ 1.โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา งบลงทุน 2 แสนล้านบาทใน 5 ปีแรก เพื่อรับผู้โดยสารเพิ่มจากปีละ 3 ล้านคน เป็น 15 ล้านคน 2.โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เชื่อมสนามบินพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา ลงทุน 1.58 แสนล้านบาท 3.โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ลงทุน 8.8 หมื่นล้านบาท 4.โครงการรถไฟทางคู่ เชื่อมท่าเรือ 3 แห่ง เพิ่มศักยภาพขนส่งสินค้าทางรางลงทุน 6.43 หมื่นล้านบาท และ 5.โครงการพัฒนาเมืองใหม่ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งปีนี้จะสรุปเรื่องพื้นที่และการจัดเรื่องที่ดิน

เรียกว่าเป็นการลงทุนที่มาครบทั้งขนส่งทางบก น้ำ อากาศ ระบบราง เพื่อรับกับเศรษฐกิจใหม่ นิวเอสเคิร์ฟที่จะมาเป็นตัวขับเคลื่อน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน 5 ปี ที่รัฐบาลตั้งใจ เชื่อแน่ว่าจะมีพลังดึงการลงทุนในภาคตะวันออกให้เกิดผลทางเศรษฐกิจแน่

ทว่า จากสัญญาณความไม่แน่นอนบางอย่าง การมองทิศทางอาจไม่ใช่ไปในทางเดียวกัน อย่างนิยามของไทยแลนด์ 4.0 ล่าสุดที่บางส่วนของรัฐบาลออกมาบอกว่า ไทยแลนด์ 4.0 ไม่ได้หมายถึงไฮเทคโนโลยี แต่หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่มีความสมดุลระหว่างความเจริญความสามารถในการแข่งขัน กับการที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมความเจริญในภูมิภาคในชนบท และต้องยั่งยืนควบคู่กันไปเป็นระบบเศรษฐกิจความรู้ต่อยอดและระบบเศรษฐกิจเอาจุดแข็งความรู้ เอาวัฒนธรรมมาทำให้เกิดประโยชน์ เป็นเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นเต็มประเทศ ฉีกไปจากทิศทางเดิมพอสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงอยากให้รัฐบาลสร้างระบบเพื่อให้ทำอีอีซีเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบเห็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดใกล้เคียงกับกำหนดที่วางไว้จริง ไม่เช่นนั้นโครงการที่จะเป็นประกายความหวังนี้อาจจะจบเหมือนเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่นๆ ก็ได้

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่