จับตาแม่น้ำ 5 สาย ดึงเกมยื้อเลือกตั้ง
คำถามในทางการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
คำถามในทางการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
เดิมที พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันต่อสาธารณะหลายครั้งว่าภายในปี 2560 จะมีการเลือกตั้ง แต่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณออกมาว่าการเลือกตั้งกำลังจะเลื่อนออกไปไกลจากกำหนดการเดิมพอสมควร
ปัจจัยสำคัญต่อการกำหนดวันเลือกตั้ง คือ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 ฉบับ
พลิกไปที่ร่างรัฐธรรมนูญที่อยู่ในระหว่างการแก้ไขของคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษพบว่ากำหนดให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องทำกฎหมายลูกทั้ง 10 ฉบับให้เสร็จภายใน 240 วันนับตั้งแต่วันที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีผลบังคับใช้ จากนั้นค่อยส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่ง สนช.มีเวลาทำให้เสร็จภายใน 60 วัน
โดยเมื่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ 1.การเลือกตั้ง สส. 2.การได้มาซึ่ง สว. 3.คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ 4.พรรคการเมือง เสร็จสิ้นในกระบวนการนิติบัญญัติและมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ การเลือกตั้งจะมีขึ้นหลังจากนั้นภายใน 150 วัน
ล่าสุด มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ออกมายอมรับว่าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญอาจจะไม่เสร็จภายในปี 2560
“กรธ.ยังคงทำตามตารางเวลาที่กำหนดไว้ ในระหว่างนี้ก็ทำล่วงหน้ารอรัฐธรรมนูญประกาศใช้จึงจะเริ่มต้นนับหนึ่งส่งไปได้ ส่วนจะเสร็จทันภายในปีนี้หรือไม่ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไร ข้อสำคัญคือเมื่อกฎหมายลูกออกมาแล้ว ยังต้องไปดูว่า กกต.กับพรรคการเมืองจะใช้เวลานานเท่าไร ในการปรับให้เข้ากับเนื้อหาใหม่” ท่าทีจากประธาน กรธ.
สอดรับกับท่าทีของ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งยอมรับว่าการเลือกตั้งคงยังเป็นเรื่องอีกไกล
“ร่างรัฐธรรมนูญเวลานี้มีการขอทูลเกล้าฯ ขอกลับมาพิจารณาใหม่เพื่อปรับแก้ไม่กี่มาตรา ซึ่งคาดจะทูลเกล้าฯ ถวายก่อน 18 ก.พ.แน่นอนเพราะเกือบเสร็จแล้ว ซึ่งหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง คือจะต้องทำเรื่องนั้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนการเลือกตั้งนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็ใช้เวลาอีกหนึ่งปี”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพิจารณาร่างกฎหมายลูกเป็นปัจจัยสำคัญของการกำหนดวันเลือกตั้ง เพราะแม้ สนช.จะพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จสิ้นแล้ว แต่ต้องมีกระบวนการต้องส่งร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่าน สนช.ไปให้องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และ กรธ.ให้พิจารณาว่าร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่ สนช.ให้ความเห็นชอบนั้นตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ภายใน 10 วัน
ถ้าหน่วยงานเหล่านี้เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญไม่มีปัญหา ก็สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่วมกัน และส่งให้ที่ประชุม สนช.ให้ความเห็นชอบอีกครั้งภายใน 15 วัน ในกรณีหาก สนช.เห็นชอบทุกอย่างก็เดินหน้า แต่ถ้าผลออกมาเป็นตรงกันข้าม จำเป็นต้องไปเริ่มกระบวนการร่างกฎหมายใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นอกเหนือไปจากปัจจัยเรื่องกฎหมายลูกแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของรัฐบาล
เวลานี้รัฐบาลกำลังโหมงานการปฏิรูปประเทศและการสร้างความปรองดอง หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งเซ็นลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ เดินหน้าทำงานในเชิงรูปธรรมด้วยการตั้งคณะกรรมการย่อยอีก 4 คณะ เพื่อทำงานในเชิงโครงสร้างให้สอดคล้องกับแนวทางการทำงานของรัฐบาล
การตั้ง ป.ย.ป.ของรัฐบาลวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดจะพบว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าประเทศต้องได้รับการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
รัฐบาลตั้งธงในการทำงานครั้งนี้ว่าปัญหาของประเทศได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสร้างความปรองดอง เพราะรัฐบาลมองว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ประเทศกลับไปทะเลาะกันแบบในอดีต
จริงๆ แล้วการทำงานด้านการปรองดองนั้นรัฐบาลสามารถเดินหน้าได้อย่างรวเร็ว เพราะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ารัฐบาลได้รับข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นรายงานฉบับหนึ่งที่มีข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวค่อนข้างสมบูรณ์
ทว่า รัฐบาลกลับแสดงออกมาในทำนองว่าการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองอาจจะต้องกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ดังจะเห็นได้จากท่วงท่าของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
“จะมีการกำหนดลงไปในระดับกองทัพภาคและทุกจังหวัด ที่จะต้องลงไปรับฟังความคิดเห็นในแต่ละพื้นที่ด้วย เพื่อให้เป็นคู่ขนานกัน และจะได้นำข้อมูลทั้งหมดจากทุกฝ่าย”
การกลับเริ่มนับหนึ่งใหม่ดังกล่าว ไม่ต่างอะไรกับสัญญาณที่ส่งออกมาว่าการสร้างความปรองดองจะใช้เวลานานกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่จะกินเวลานานกว่าการทำกฎหมายลูกด้วยซ้ำ
เหนืออื่นใดรัฐบาลไม่ยอมให้เกิดการเลือกตั้ง จนกว่าการสร้างความปรองดองจะประสบความสำเร็จตามแนวคิดที่รัฐบาลได้วาดฝันเอาไว้


