posttoday

ยกคำร้อง 2 อดีตครูขอรื้อฟื้นคดีชำเรานักเรียนหญิง

10 กุมภาพันธ์ 2560

ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้อง 2 อดีตครูเขตสายไหม ขอรื้อฟื้นคดีชำเรานักเรียนหญิง ขึ้นมาพิจารณาใหม่ ชี้หลักฐานที่นำเสนอ ไม่ใช่หลักฐานใหม่

ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้อง 2 อดีตครูเขตสายไหม ขอรื้อฟื้นคดีชำเรานักเรียนหญิง ขึ้นมาพิจารณาใหม่ ชี้หลักฐานที่นำเสนอ ไม่ใช่หลักฐานใหม่

เวลา 10.00 น. วันที่ 10 กพ. 60 ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งขอรื้อฟื้นคดีของศาลอุทธรณ์ ที่นายลอน โสรกนิษฐ์ อายุ 69 ปี อดีตอาจารย์ระดับ7 ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่2และนายพิมล ซุ่นศรี หรือซุ้นศรี อายุ59ปี อดีตอาจารย์ระดับ7 สอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสายไหม ผู้ต้องขังตามคำพิพากษาฎีกาถึงที่สุด คดีกระทำชำเรา , อนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน15ปี ไปเพื่อการอนาจารฯ ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีใหม่

โดย นายลอน และนายพิมล จำเลยที่ 1-2 ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลย ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่2พ.ย.49 ในความผิดฐานพาเด็กอายุยังไม่เกิน15ปี เพื่อการอนาจารกระทำอนาจารและพรากเด็กอายุยังไม่เกิน15ปี ไปเพื่อการอนาจารกระทำชำเราฯ และหน่วงเหนี่ยว กักขัง เพื่อการอนาจาร ซึ่งคำฟ้องระบุว่า ระหว่างวันที่1มิ.ย.-10 ส.ค49ต่อเนื่องกัน นายลอน จำเลยที่1ได้พา ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ7ขวบ ผู้เสียหาย โดยหลอกเข้าไปในห้องน้ำก่อนกระทำอนาจารผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยที่1 ยังได้พราก ด.ญ.เอไปกักขังเพื่อกระทำชำเรา และจำเลยที่1ยังมีพฤติการณ์พา ด.ญ.เอ ไปชำเราและอนาจารอีกจำนวน5ครั้ง ขณะที่นายพิมล จำเลยที่2ได้ใช้กำลังประทุษร้าย ด.ญ.เอ เพื่อกระทำอนาจารและกระทำชำเรา โดยที่ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำนวน4ครั้ง

ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันพาเด็กหญิงผู้เสียหายอายุ7-8ขวบ รวม5คน โดยล่อลวงว่าจะพาไปซื้อขนม ก่อนจะกระทำอนาจาร และพรากผู้เสียหายทั้ง5คนไปจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง กระทำการด้วยประการใดให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เพื่อยินยอมให้จำเลยทั้งสองกระทำชำเรา โดยจำเลยทั้งสองยังร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย และผลัดเปลี่ยนกันกระทำชำเราผู้เสียหายทั้ง5คนอีกด้วย เหตุเกิดที่แขวง  เขตสายไหม กทม. ขณะที่ ศาลฎีกา มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่18ม.ค.59ให้จำคุกนายลอน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 19ปี3เดือน ส่วนนายพิมล จำเลยที่ 2 จำคุก12ปี เมื่อคดีที่ถึงที่สุด จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอรื้นฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่


ซึ่งศาลเบิกตัว จำเลยทั้งสอง มาจากเรืองจำกลางบางขวาง เพื่อฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ โดยมีกลุ่มเพื่อนครูและญาติสนิทของจำเลยทั้งสองประมาณ 6-7 เดินทางมาให้กำลังใจ

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์พยานหลักฐานตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมาแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนพยานตามที่ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่ ที่จะยืนยันได้ว่าผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กระทำผิด มีพยานเป็นบรรณารักษ์ ภารโรง และครู ที่โรงเรียนที่เกิดเหตุ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า ไม่เชื่อว่าผู้ร้องทั้งสองกระทำความผิดทั้งที่ห้องพักครูและในห้องพยาบาล แต่ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า คำเบิกความของพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีนั้น ได้ทำการเบิกความไว้ในชั้นสืบพยานแล้ว จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ที่จะนำมาเป็นเหตุให้รื้อฟื้นคดี ตามมาตรา 5 (3) พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 คำร้องของนายลอนและนายพิมล จึงไม่มีมูล ให้ยกคำร้อง

ภายหลังนายพีระพัฒน์ เพียงแก้ว ทนายความจำเลย กล่าวว่า หลังจากนี้จะไปตรวจสอบข้อกฎหมายว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้อีก ในส่วนของการลดโทษเนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นนี้ การรื้อฟื้นคดีจึงไม่สามารถดำเนินการใดใดได้อีก เพราะการยื่นคำร้องสามารถดำเนินการได้เพียงครั้งเดียว โดยการยื่นคำร้องครั้งแรกเนื่องจากมีภรรยาของนายลอนที่ใกล้ชิดอยู่บ้านเดียวกันซึ่งจะรับรู้เหตุการณ์ว่าไม่ได้มีการกระทำใดใดเกิดขึ้นที่บ้านพักครู และครูประจำห้องพยาบาลซึ่งเป็นพยานในส่วนของนายพิมล ซึ่งไม่เคยเบิกความในศาลชั้นต้นมาก่อน จึงเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่จะเสนอให้ศาลพิจารณา อย่างไรก็ดีนายลอนเหลือระยะเวลาถูกคุมขังอีกประมาณ 8 ปี ส่วนนายพิมลจะครบกำหนดในเดือน พ.ค.นี้

ภาพประกอบข่าว

ข่าวล่าสุด

มติสมช.ย้ำจบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องคุยกันระดับทวิภาคี