จะไป SAGA 17
เรื่องราวของมิโกะจากสัปดาห์ที่แล้วยังไม่จบ พิธีการแต่งตั้งมิโกะจะถูกจัดขึ้นโดยมีครูผู้ฝึก ผู้อาวุโสในชุมชน
เรื่องราวของมิโกะจากสัปดาห์ที่แล้วยังไม่จบ พิธีการแต่งตั้งมิโกะจะถูกจัดขึ้นโดยมีครูผู้ฝึก ผู้อาวุโสในชุมชน และคนทรงคนอื่นๆ เข้าร่วม เด็กหญิงจะสวมผ้าห่อศพเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเธอได้ละทิ้งชีวิตเก่าของเธอไปแล้ว เบื้องต้นเหล่าผู้อาวุโสจะเริ่มสวดคาถาไปจนกว่าเด็กหญิงจะตัวสั่น จากนั้นครูผู้ฝึกจะถามเด็กหญิงว่าเทพเจ้าองค์ใดได้ลงมาสิงสถิตในร่างของเธอ เมื่อเธอให้คำตอบแล้วครูผู้ฝึกก็จะขว้างโมจิใส่หน้าเด็กหญิงทำให้เธอสลบไป เมื่อนั้นผู้อาวุโสจะร่วมกันพาร่างไร้สติของว่าที่มิโกะกลับไปนอนในเตียงอุ่นๆ จนกระทั่งเด็กหญิงตื่นขึ้นมา และจากนั้นเธอจะถูกเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไปเป็นชุดแต่งงานสีสันสดใสเพื่อเข้าพิธีฉลอง พิธีแต่งงานของมิโกะนั้นถือเป็นการบ่งบอกว่าเด็กหญิงพรหมจรรย์เหล่านั้น ได้ถวายตัวเป็นเจ้าสาวของเทพเจ้าที่เธอรับใช้เรียบร้อยแล้วเรียกว่า Tamayori Hime จากนั้นเทพเจ้าจะชี้นำให้มิโกะไปยังศาลเจ้าประจำตัวเป็นอันจบพิธีกรรม ประเพณีพื้นเมืองในบางแห่ง มิโกะจะต้องนำหม้อข้าวและกระทะติดตัวไปด้วยเสมือนออกเรือนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีประเพณีแปลกๆ ที่สาบสูญไปแล้วในปัจจุบัน อย่างเช่นการให้มิโกะร่วมหลับนอนกับนักบวชชินโตที่เชื่อว่าทำหน้าที่เป็นร่างทรงของเทพเจ้าที่มิโกะคนนั้นอุทิศตัวให้ และทารกที่เกิดจากพิธีกรรมนี้ก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นลูกของเทพเจ้า
คุณคูนิโอะ ยานางิตะ นักชาติพันธุ์วิทยาคนแรกที่ศึกษาเกี่ยวกับคนทรง ได้ทำการจัดแบ่งประเภทของมิโกะออกเป็นดังนี้ Jinja miko มิโกะที่ประกอบพิธีร่ายรำแบบง่ายๆ ด้วยกระดิ่งพร้อมประกอบพิธี Yudate หรือพิธีต้มน้ำ Kuchiyose miko มิโกะที่ทำหน้าที่เป็นร่างทรงให้กับคนตาย และ Kami uba มิโกะที่ทำหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้าโดยประกอบพิธีสวดเพื่อสื่อสารกับเทพเจ้า นอกจากนี้เหล่ามิโกะยังต้องประกอบพิธีร่ายรำเพื่อถวายแก่เทพเจ้าเรียกว่า Kagura ซึ่งมีเนื้อหาและกระบวนท่าร่ายรำคล้ายคลึงกับละครโนะ (Noh) หรือโนกาคุ (Nogaku) รูปแบบการแสดงละครดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ของญี่ปุ่น โดยรากศัพท์ของคำว่า โนะ นั้นแปลว่าฝีมือหรือความสามารถนั่นเอง การร่ายรำแบบละครโนะได้ถูกพัฒนาไปตามกาลเวลา จนมีการแตกแยกออกไปหลากหลายแขนงในปัจจุบัน และหนึ่งในนั้นได้กลายมาเป็น Miko-Kagura หรือการร่ายรำของมิโกะในพิธีกรรมทางศาสนาชินโต ซึ่งบรรดามิโกะจะใช้การร่ายรำเพื่อเป็นสื่อในการติดต่อกับเทพเจ้า บ่อยครั้งอาจมีการใช้อุปกรณ์อื่นๆ เข้ามาประกอบพิธีการ เช่น กระบอกไม้ไผ่ กระดิ่ง ก้านดอกซากากิ หรือพัด เป็นต้น
ในปัจจุบันเราจะสามารถพบเห็นมิโกะได้ตามศาลเจ้าชินโตทั่วไป ซึ่งพวกเธอก็จะมีหน้าที่ปัดกวาดดูแลความสะอาดเรียบร้อยของศาลเจ้า ร่ายรำในพิธีกรรมต่างๆ ให้บริการเซียมซีทำนายโชคชะตาและเช่าเครื่องราง ด้วยหน้าที่ของมิโกะในปัจจุบัน จึงพอสรุปได้ว่า การเป็นมิโกะก็คือการประกอบอาชีพอย่างหนึ่ง ไม่ได้ลึกซึ้งและลึกล้ำเหมือนดั่งเช่นกาลก่อน อย่ากระนั้นเลย ไหนๆ เราก็มีมิโกะตัวจริงๆ มายืนตรงหน้าแล้ว ก็ต้องขอสัมภาษณ์เอาความรู้เพิ่มเติมเสียหน่อย คำถามแรก “ก่อนมาเป็นมิโกะ คุณทำอะไรมา” คำตอบคือ “เรียนหนังสือ” คำถามที่สอง “ทำไมถึงมาเป็นมิโกะ” คำตอบคือ “อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาชินโตให้มากขึ้น” คำถามที่สาม “คุณมาเป็นมิโกะได้อย่างไร” คำตอบคือ “มาเขียนใบสมัครที่ศาลเจ้า” คราวนี้หันไปถามรองผู้ดูแลศาลเจ้าบ้าง “แล้วท่านมีวิธีการคัดเลือกมิโกะอย่างไร” คำตอบคือ “เรามีการจัดสอบเหมือนสอบเข้าเรียนนั่นแหละ คนที่จะมาเป็นมิโกะต้องมีความรู้ที่หลากหลาย หลังจากสอบผ่านข้อเขียนแล้ว ก็จะต้องสอบสัมภาษณ์เพื่อดูเจตนาและทัศนคติ จริงอยู่ที่ว่ามิโกะในปัจจุบันถือเป็นอาชีพหนึ่ง แต่ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนกับมิโกะในสมัยก่อน เพียงแค่กระบวนการคัดสรรถูกปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นเท่านั้นเอง” เป็นคำตอบที่ชาญฉลาดมากครับ ผมเลยถามต่อ “แล้วใครเป็นคนคัดเลือกว่าผู้ใดเหมาะสมจะมาเป็นมิโกะของศาลเจ้านี้” รองผู้ดูแลศาลเจ้ายิ้มกว้างพร้อมตอบว่า “ผมเองครับ” หันกลับไปถามน้องมิโกะต่อ “มาเป็นมิโกะนี่มีรายได้เท่าไหร่” น้องมิโกะหันไปมองหน้ารองผู้ดูแลศาลเจ้า ประมาณว่าตอบแทนหนูหน่อย “ก็อยู่ในอัตราเดียวกันกับพนักงานบริษัททั่วไป เพื่อให้มิโกะใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ไม่ต้องลำบากเดือดร้อน” รองผู้ดูแลศาลเจ้ากล่าว ผมยังถามต่อว่า “ที่ศาลเจ้านี้เห็นมีมิโกะอยู่ไม่น้อย หาเงินจากไหนมาจ่ายค่าจ้างมิโกะ” รองผู้ดูแลตอบว่า “ที่ศาลเจ้านี้มีมิโกะประมาณ 30 คน แต่ละคนสลับสับเปลี่ยนหน้าที่วนกันไป รายได้ของศาลเจ้ามาจากประชาชนที่บริจาคเพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ ตลอดจนการให้เช่าเครื่องราง ป้ายม้า และเซียมซี” คราวนี้หันกลับมาถามน้องมิโกะบ้าง
“การทำงานที่ศาลเจ้านี่เป็นแบบไปกลับหรืออยู่ประจำ” น้องมิโกะบอก “มาแต่เช้ากลับเย็นเหมือนทำงานบริษัท ไม่มีอยู่ประจำเพราะไม่มีที่พักในศาลเจ้า” ผมได้ทีเลยถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นหลังเลิกงานทำอะไร มีวันหยุดมั้ย และทำอะไรกันในวันหยุด” น้องอมยิ้มแล้วตอบว่า “กลับบ้านไปก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนธรรมดา ดูทีวี ช่วยที่บ้านทำกับข้าว วันหยุดก็ไปเที่ยว ไปช็อปปิ้งกับเพื่อน” ผมถามต่อ “เล่นไลน์หรือใช้โซเชียลมีเดียบ้างมั้ย” น้องตอบแบบขำๆ แต่สำรวม “ถึงจะเป็นมิโกะแต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา ดูหนัง ฟังเพลง ช็อปปิ้ง ทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนคนธรรมดา แต่ในขณะปฏิบัติหน้าที่มิโกะต้องสำรวมและเคร่งครัดกับวิถีปฏิบัติ แยกเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวชัดเจน” แล้วก็มาถึงคำถามสุดท้ายที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้ว่าควรถามมั้ย เลยตัดสินใจหันมาถามรองผู้ดูแลแทน “ที่ว่ามิโกะต้องเป็นสาวพรหมจรรย์ ปัจจุบันยังเป็นเช่นนั้นอยู่มั้ย และจะทราบได้อย่างไร” ผู้ดูแลมองหน้าค้นหาว่าไอ้หมอนี่มันถามเพราะอยากรู้จริงๆ หรือทะลึ่งกันแน่ แต่ก็ให้คำตอบที่ผมพอใจว่า “ยังเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นมิโกะ ในขั้นตอนการสมัครและการสัมภาษณ์จะมีการสอบถามเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติผู้ที่มาสมัครก็ต้องทราบคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว และงานที่ทำก็ไม่ใช่งานที่ได้รับความนิยมจนมีคนแห่มาสมัครกันมากมาย ดังนั้นผู้ที่มาสมัครจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกในเรื่องนี้แต่อย่างใด” ผมจบการสัมภาษณ์ที่สนุกสนาน พร้อมกับได้ความรู้เรื่องมิโกะที่สงสัยมาหลายปี


