เฒ่า ซอนแบนิม
คืนหนึ่งในห้องจัดเลี้ยงมุมเล็กๆ ของกรุงเทพมหานคร ท่านผู้เฒ่าสองสามีภรรยาชาวเกาหลีที่นั่งอยู่ด้านข้างของ “เชกา”
โดย...ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย [email protected]
คืนหนึ่งในห้องจัดเลี้ยงมุมเล็กๆ ของกรุงเทพมหานคร ท่านผู้เฒ่าสองสามีภรรยาชาวเกาหลีที่นั่งอยู่ด้านข้างของ “เชกา” ส่งยิ้มมาให้ด้วยความเอ็นดูที่เห็นสาวไทยคนเดียวมานั่งอยู่ในโต๊ะท่าน รอบๆ โต๊ะของเราแวดล้อมไปด้วยคนเกาหลีหลายสิบคนที่กำลังส่งเสียงคุยกันอย่างออกรส ทุกคนเป็นพี่น้องกันเนื่องจากเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน และออกจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อยที่มีศิษย์เก่าชาวเกาหลีของมหาวิทยาลัยอยู่ในเมืองไทยเกือบร้อยคน พร้อมทั้งก่อตั้ง “ชมรมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล แห่งประเทศไทย” มานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยที่ศิษย์เก่าชาวไทยมิได้ระแคะระคายเลย
ในระบบสังคมของเกาหลี มีวัฒนธรรมหนึ่งที่ฝังลึกจนเป็นแบบแผนทางจิตใจ คือ ความรู้สึกเป็นพวกพ้อง กับการให้ความสำคัญกับลำดับชั้นอาวุโส ซึ่งคงได้รับอิทธิพลมาจากจารีตประเพณีแบบขงจื๊อที่เป็นรากฐานของสังคมมาราว 700 ปีตั้งแต่สมัยโชซอนตอนต้น ตัวอย่างเช่น ความรู้สึกเป็นพวกพ้องใน “ระบบเครือข่ายบุคคล” ของ “ซอนแบ (&*9440;&*8176; รุ่นพี่) - ฮูแบ (&o4980;&*8176; รุ่นน้อง)” การเป็นรุ่นพี่-รุ่นน้องโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเดียวกัน สร้างความรู้สึกใกล้ชิดซึ่งทำให้เกิดการเกื้อหนุนกันในหน้าที่การงาน ความเป็นพวก หรือมีพวกในเกาหลีมีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนอย่างมาก เช่น ในอดีตความรู้สึกเป็นพวกพ้องในคนบ้านเดียวกันที่เรียกว่า “ความรู้สึกภูมิภาคนิยม (Regionalism)” ระหว่างคนในพื้นที่จังหวัดชอลลา กับคนในพื้นที่จังหวัดคยองซัง ก็ยังเคยเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการเมืองของเกาหลีมาแล้ว มีเรื่องเล่าว่าในอดีตสองภูมิภาคนี้ไม่ค่อยถูกกัน ถึงขนาดที่พ่อแม่กีดกันการแต่งงานข้ามจังหวัดเลยทีเดียว
“ซอนแบนิม &*9440;&*8176;&*5784;” ผู้เฒ่า เริ่มชวนคุยจนกระทั่งได้รู้ว่าท่านฝังตัวตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 50 ปีแล้ว ท่านชี้ให้ดูผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ในโต๊ะหมายเลข 1 พลางบอกว่า “เห็นรุ่นพี่ท่านนั้นไหม ท่านอายุ 89 แล้ว พาภรรยามาอยู่เมืองไทยก่อนฉันตั้งหลายปี”
ปัจจุบันมีชาวเกาหลีนับหมื่นคนเข้ามาอยู่ในเมืองไทย อาทิ ข้าราชการที่มาอยู่หมุนเวียนตามวาระในหน่วยงานต่างๆ ของเกาหลี ผู้มาประจำการในบริษัทเอกชน เช่น รุ่นน้องที่เป็นผู้จัดงานในครั้งนี้ก็เป็นผู้บริหารของ โอ ช้อปปิ้ง ทางโทรทัศน์ มาเป็นอาสาสมัคร เช่น รุ่นพี่อีกคนหลังเกษียณราชการก็เป็นอาสาสมัครของโครงการ World Friend Korea มาเป็นผู้เชี่ยวชาญให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ หรือแม้แต่พาลูกมาเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ฯลฯ หลายคนตามภรรยาชาวไทยมาแล้วก็หางานหรือธุรกิจที่สามารถทำได้ เช่น เพื่อนๆ ของเชกาหลายคนก็พกพาสามีเกาหลีกลับมาบ้านด้วยหลังจากเรียนจบ
ส่วนที่มาตั้งรกรากอยู่กว่า 50 ปี โดยที่คู่สมรสไม่ได้เป็นคนไทยนั้นเพิ่งพบ ทำให้รู้สึกฉงนว่า “ตอนนั้นท่านมีแรงจูงใจอะไร” ถ้าเป็นปัจจุบันสิค่อยเข้าใจได้หน่อย เพราะเมืองไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ชาวเกาหลีสนใจมาใช้ชีวิตและหาโอกาสทางธุรกิจ ทว่าการจะมาตั้งรกรากทำมาหากินในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อันดับแรก ต้องมีความรักให้ประเทศนั้นๆ คุณสมบัติต่อมา ต้องสามารถปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิต วัฒนธรรม อาหารการกิน นิสัยผู้คน พร้อมทั้งเข้าใจกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง และสุดท้ายต้องรู้จักตนเองว่ามีศักยภาพด้านใดที่จะนำมาเป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพได้
นี่เป็นเรื่องจริงของเพื่อนพนักงานในบริษัทเกาหลีค่ะ เมื่อเขาหมดสัญญาแล้วกลับไปทำงานที่เกาหลี เขาพบว่าตนเองคิดถึงเมืองไทยมาก จึงลาออกและกลับมาตั้งบริษัททางด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่มีคอนเนกชั่น สุดท้ายภรรยาชาวเกาหลีซึ่งมีฝีมือทำกับข้าวได้เปิดร้านอาหารเกาหลี สองคนช่วยกันลุยงานทุกอย่างไปจ่ายตลาดด้วยตนเอง มีกำไรมากมายทุกๆ เดือน ประสบความสำเร็จมาก ผ่านไป 2 ปี ประธานบริษัทเดียวกันก็หมดวาระกลับไปเกาหลี ทว่าท่านประธานก็คิดถึงเมืองไทย และเห็นว่าเพื่อนตนเปิดร้านอาหารเกาหลีแล้วร่ำรวยจึงอยากทำบ้าง เขากลับมาทดลองทำไปได้แค่ 2 เดือน ก็ต้องยอมแพ้กลับบ้าน เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเมื่อต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องอาศัยความอดทนสูง จะเห็นว่าแต่ละคนมีศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการไม่เท่ากัน แม้จะเลียนแบบธุรกิจกันเป๊ะๆ
มาถึงเรื่องราวของ “ซอนแบนิม” เมื่อ 50 กว่าปีก่อน หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรี ซอนแบนิมก็บินไปเรียนต่อที่เยอรมนี เมื่อกลับบ้านบังเอิญแวะลงเที่ยวเมืองไทยเนื่องจากมีญาติมาประจำการที่นี่ หลังจากอยู่มาหลายวันก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ซะเลย ท่านบอกว่า “เมื่อ 50 กว่าปีก่อนน่ะ รายได้ประชากรต่อหัว (GNP Per Capita) ของไทย คนละ 160 เหรียญสหรัฐ รวยกว่าเกาหลีอีก เกาหลีไม่ถึง 100 เหรียญสหรัฐ ดูแล้วมีโอกาสทำอะไรมากกว่าที่เกาหลีมากมาย”
ฟังแล้วอึ้งค่ะ ลืมนึกไปเลยว่าที่จริงเมืองไทยก็มีโมเมนต์ที่เรารวยกว่าเกาหลีด้วย ไทยมีทรัพยากรเหลือเฟือ มีพื้นที่กว้างขวางกว่าเกาหลี 3 เท่า ประชากรที่สมบูรณ์แข็งแรงก็เยอะกว่า เพราะช่วงหลังสงครามชาวเกาหลีบาดเจ็บล้มตายไปหลายแสนคน ทว่าตัวเลขล่าสุดของ World Bank (2015) ระบุว่า รายได้ประชากรต่อหัวต่อปีของไทย คนละ 5,720 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ของเกาหลีเท่ากับ 27,450 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าเราเกือบ 5 เท่า! เกาหลีเริ่มมีรายได้แซงเราในช่วงปี 1970 หลังจากที่ได้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมครั้งใหญ่เพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศ และใช้เวลาไม่ถึง 30 ปีหลังสงคราม ในการฟื้นฟูประเทศจนแซงหน้าเราไป
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ ซอนแบนิม คงจะมีความสุขในเมืองไทยมากกว่า แม้ธุรกิจจะไม่ใหญ่โตระดับ “แชบอล” แบบ ซัมซอง แอลจี ฮยอนเด แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี ท่านอ่านเขียนภาษาไทยได้คล่องแคล่วดูน่าทึ่งสำหรับผู้สูงอายุ และได้เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นน้องอีกหลายคนตามมาหาโอกาสในเมืองไทยด้วย


