ระบบอุปถัมภ์กับการคอร์รัปชั่น
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
คนไทยรู้จัก “ระบบอุปถัมภ์” มานานแล้ว เพราะสังคมไทยเป็นสังคมอุปถัมภ์มาตั้งแต่สมัยเจ้าขุนมูลนายแล้ว ระบบอุปถัมภ์เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมเชิงตอบแทนซึ่งกันและกัน เป็นการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ โดยผู้ที่มีสถานะทางสังคมสูงกว่าหรืออาจเรียกว่า “ผู้อุปถัมภ์” จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลปกป้อง ค้ำจุนผู้น้อย หรือผู้ที่มีสถานะทางสังคมด้อยกว่าหรืออ่อนแอกว่าทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเรียกว่า “ผู้ได้รับอุปถัมภ์” โดยฝ่ายหลังตอบแทนในรูปของความจงรักภักดี การทำงานตอบแทน ระบบทาสสมัยก่อนก็ถือว่าเป็นระบบอุปถัมภ์ เป็นระบบที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ระบบอุปถัมภ์โดยตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้ายขึ้นอยู่กับว่าคนจะใช้ไปในทางใด ระยะหลังระบบการเมืองและระบบราชการใช้การอุปถัมภ์ไปในทางที่นอกกรอบ มีการใช้อำนาจทางการเมืองและระบบราชการอำนวยประโยชน์ให้ผู้อื่นในทางที่ผิดหรือไม่ตรงไปตรงมา และส่วนใหญ่มักได้รับสิ่งตอบแทนเป็นเงินทองหรือของกำนัลในรูปต่างๆ
เมื่อเราจะปฏิรูปการเมืองก็ต้องปฏิรูประบบอุปถัมภ์ไปด้วย เพราะระยะหลังถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมมากขึ้น เราสนับสนุนและให้กำลังใจ “คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรม” ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ภายใต้ พล.ร.อ.ศักดิ์สิทธิ์ เชิดบุญเมือง เป็นประธาน ที่กำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” เพราะที่ผ่านมาได้มีการใช้ระบบอุปถัมภ์ไปในทางที่ผิด จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของชาติ
ตัวอย่างที่ กมธ.วิสามัญฯ ยกขึ้นมานั้นนับว่าตรงประเด็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการห้ามรับของขวัญ รับเลี้ยง รับสินบน หรือเล่นกอล์ฟกับผู้มีส่วนได้ประโยชน์จากการเป็นคู่สัญญาของรัฐ ปัจจุบันมีระเบียบที่ห้ามข้าราชการรับของขวัญที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท/ชิ้น อยู่แล้ว กมธ.ได้เสนอห้ามข้าราชการเล่นกอล์ฟกับนักธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐด้วย เล่ากันเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วว่านักธุรกิจที่ได้โครงการจากรัฐเลี่ยงกฎหมายข้อหาให้สินบนโดยจ่ายเป็นค่าแพ้พนันในการเล่นกอล์ฟแทนเป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านบาท (มูลค่าเงินขณะนั้น)
นอกจากเล่นกอล์ฟแล้ว การมอบหุ้นให้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักธุรกิจให้สินบนแก่นักการเมืองและข้าราชการประจำตอบแทนที่ช่วยอุปถัมภ์โครงการของเขาให้เข้าตลาดหุ้นได้ ที่เกาหลีใต้รัฐมนตรีของเขาไม่กล้าที่จะเล่นกอล์ฟกับนักธุรกิจ หรือแม้จะกินข้าวกับนักธุรกิจ เพราะหากผู้สื่อข่าวเห็นเข้าจะถูกพาดหัวในข่าวหน้าหนึ่งวันรุ่งขึ้นทันที
เราสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ ที่ห้ามข้าราชการเกษียณอายุรับตำแหน่ง “ที่ปรึกษา” ให้ภาคธุรกิจ โดยต้องเกษียณไปแล้วอย่างน้อย 2 ปี ความจริงสองปีน้อยไปด้วยซ้ำ พ่อค้าเลือกที่จะเชิญเฉพาะข้าราชการเกษียณบางคนจากกระทรวง ทบวง กรมที่จะเป็นประโยชน์เท่านั้น โดยใช้ให้ไปพูดคุยกับลูกน้องเก่าเพื่อขอ “อำนวยความสะดวก” ให้อนุมัติโครงการ หรือบางทีก็จ้างไว้เพื่อเป็น “ยันต์กันผี” เคยมีอดีตข้าราชการระดับ 11 ท่านหนึ่งได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งหลังจากเกษียณอายุราชการ แต่ท่านขอลาออกเมื่อถูกผู้บริหารบริษัทขอร้องให้ไปพูดคุยกับลูกน้องเก่าเพื่อให้ผ่านโครงการของบริษัทนั้น เพราะท่านละอายแก่ใจและไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีที่สร้างมาให้ลูกน้องว่าได้ แต่จะมีข้าราชการแบบนี้สักกี่คน
ข้าราชการบางคนรับเป็นที่ปรึกษาบริษัทขณะยังรับราชการอยู่ด้วยซ้ำ แม้ระเบียบราชการของหน่วยไม่ได้ห้ามการเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน แต่เขาก็น่าจะมี “จิตสำนึก” ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้วต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
เข้าใจว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วคงมีกฎที่ห้ามข้าราชการเกษียณอายุเป็นที่ปรึกษา หรือทำงานให้กับบริษัทเอกชนจนกว่าจะผ่านไประยะหนึ่ง 2-5 ปี ล่าสุดว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าไม่ให้นักการเมืองที่เพิ่งพ้นอำนาจไปเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” จนกว่าจะพ้นห้วงเวลาที่กำหนด เพราะคนเหล่านี้ยังมีอิทธิพลที่อาจล็อบบี้นักการเมืองอำนวยประโยชน์ให้กับต่างชาติได้ และกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ
อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังระบาดมากขึ้นและคณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้มองข้าม คือ การที่หน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระบางแห่งจัดอบรมหลักสูตรบริหารระดับสูง เพื่ออบรมข้าราชการในหน่วยและนอกหน่วยที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดีขึ้น ซึ่งมีเหตุผลและความจำเป็น แต่ระยะหลังมีการเชิญชวนนักการเมือง นักธุรกิจเข้ามาร่วมเรียนด้วย โดยอ้างว่าเพื่อให้นักการเมืองและภาคเอกชนเข้าใจงานของหน่วยงานนั้น และเพื่อประโยชน์ในการประสานงาน นักการเมืองและภาคเอกชนชอบอยู่แล้ว เพราะเขาต้องการสร้าง “คอนเนกชั่น” แต่ผลที่คาดไม่ถึงตามมา คือบางคนใช้ความรู้จักมักคุ้นแสวงหาประโยชน์ให้กับตนเอง หรือขอให้ช่วยเหลือในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ข้าราชการก็เกรงใจจนทำให้ระบบงานทางราชการเสียหายและเสี่ยงต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะหลักสูตรที่เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมหรือหลักสูตรของ กกต.ที่ดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม หลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้าก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่นักเลือกตั้งและภาคเอกชนนิยมมาใช้เป็นแหล่งสร้างคอนเนกชั่นเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า
การที่ต้องการให้นักการเมืองและภาคเอกชนเข้าใจการทำงานและเพื่อประโยชน์ในการประสานงานนั้น หน่วยงานสามารถจัดได้ แต่ต้องแยกอบรมจากกัน การรู้จักกันเป็นเรื่องที่ดี หากไม่ใช้การรู้จักกันเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือขอร้องให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เราขอสนับสนุนคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยอย่างเต็มที่ เพราะที่ กมธ.ศึกษามานั้นครอบคลุมทุกประเด็น เพื่อระงับยับยั้งระบบอุปถัมภ์ที่กำลังถูกนักการเมือง ข้าราชการประจำ นักธุรกิจบางคนนำมาใช้ในทางที่ผิด สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการช่วยเผยแพร่ข้อมูล จับตาดู รายงานพฤติกรรมที่มีการใช้ระบบอุปถัมภ์ไปในทางที่ผิดให้สังคมรับทราบและให้สังคมออกมามีบทบาทนำในการเปิดโปง ป้องกัน ระงับยับยั้งการใช้ระบบอุปถัมภ์ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบันระบบสื่อดิจิทัลจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูล การเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง การใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางที่ผิดเป็นไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว กมธ.ต้องดึงสื่อมวลชนและสื่อพลเมืองเข้ามาร่วมด้วยในโครงการดังกล่าว


