"รักสัตว์อย่างมีสติ" คาถาเตือนใจก่อนพาหมาแมวเที่ยวนอกบ้าน
เมื่อพฤติกรรมของคนรักสัตว์บางคน สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
สัปดาห์ที่ผ่านมาโลกออนไลน์วิจารณ์พฤติกรรมของคนรักสัตว์บางคนที่นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร แล้วถ่ายภาพคู่กับตู้กดน้ำอัดลมบ้าง ชั้นวางเครื่องดื่มบ้าง หรืออีกกรณีที่นำหมาเข้าไปนั่งกินไอศกรีมภายในร้าน
กระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมทวงถามถึงความเหมาะสม กาลเทศะ ตลอดจนจิตสำนึกของเจ้าของสัตว์เลี้ยง
"กาลเทศะและความเหมาะสม"...ท่องไว้ก่อนพาสัตว์เลี้ยงเที่ยวนอกบ้าน
โรเจอร์ โลหะนันท์ เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า หากไม่ใช่สัตว์นำทางคนพิการและไม่มีกฎระเบียบกำหนดไว้
การนำสัตว์เลี้ยงไปในที่สาธารณะควรพิจารณาและคำนึงถึงความเหมาะสมใน 4 เรื่องดังนี้
1.สถานที่ เหมาะสมสมหรือไม่ที่จะนำสัตว์เข้าไป อาทิ โรงพยาบาล วัด มหรสพ หรืองานพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ
2.ตัวสัตว์ ทั้งประเภท ชนิด ขนาด และสภาพสัตว์ เช่น สัตว์ป่า สัตว์ร้าย สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สกปรก สัตว์ป่วย อาจเป็นพาหะนำโรค หรือคนส่วนใหญ่รังเกียจ หวาดกลัว เช่น หมู กระรอก กระต่าย หนู กิ้งก่า งู และสุนัขที่มีขนาดใหญ่เกินไป
3.พฤติกรรมสัตว์ เช่น สัตว์ที่ดุ ซุกซน ส่งเสียงดังหนวกหูก่อความรำคาญให้ผู้อื่น
4.สวัสดิภาพสัตว์เอง เช่น สัตว์ขี้ตื่นกลัว ไม่ชอบแสงและสภาพแวดล้อมที่พาไป หรืออาจถูกสัตว์อื่นที่เผอิญพบทำร้าย
เลขาธิการสมาคมพิทักษ์สัตว์ บอกว่า การใช้อุปกรณ์พาสัตว์เข้าไปในที่สาธารณะ ต้องคำนึงถึงสุขอนามัยและความรู้สึกของส่วนรวมด้วย ขณะที่การใช้รถเข็นเด็กหรืออุปกรณ์อื่นๆมาประคบประหงมสัตว์เสมือนเป็นลูก ถือเป็นสิทธิหรือรสนิยมส่วนตัวที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสม กาลเทศะ ไม่ว่าจะเรื่องของคนหรือสัตว์ ต้องพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของระเบียบ กติกา และการเคารพสิทธิผู้อื่น ไม่เอาความชอบของเราไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร หลายคนคิดว่า ฉันรัก ฉันเห่อ แต่ดูด้วยว่าเหมาะสมกับสถานที่ สภาพแวดแวดล้อม และสวัสดิภาพสัตว์ไหม”
น้ำลายสุนัข...ตัวการก่อเชื้อโรค
สิ่งที่ทุกคนควรรู้คือ น้ำลายของสัตว์ทั้งหลายแหล่มีเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงกับมนุษย์ได้
นายสัตวแพทย์พรพิทักษ์ พันธ์หล้า หัวหน้ากลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า การใช้ภาชนะเดียวกับสุนัข อาจก่อให้เกิดโรคจากน้ำลายสุนัขสู่คน เนื่องจากสุนัขจะคลุกคลีอยู่กับดินและมีสัญชาตญาณเลียกันเอง ซึ่งในขนสุนัขจะมีเชื้อแบคทีเรียหลายตัวซึ่งเชื้อแบคทีเรียเข้าไปปะปนในน้ำลายและลิ้น นิสัยเหล่านี้จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ สู่คนได้ง่าย หากมีการติดต่อสัมผัสโดยการเลีย หรือใช้ภาชนะร่วมกัน
ที่ผ่านมาจะพบ 2 โรคหลัก คือ 1.โรคปรสิต (Parasites) ในตัวสุนัขจะมีทั้งไข่พยาธิ พยาธิตัวตืด พยาธิปากขอ และพยาธิตัวกลมที่ได้รับจากดินหรือการเลียตัวอื่น ทั้งนี้อาจจะมีอยู่ที่น้ำลายหรือลิ้นสุนัข ทำให้เมื่อมาสัมผัสกับเราโดยการเลีย หรือใช้ช้อนตักอาหารอันเดียวกัน พยาธิเหล่านั้นก็สามารถมาสู่เราได้เช่นกัน 2.โรคพิษสุนัขบ้า แม้ว่ามีโอกาสพบน้อย แต่ก็มีโอกาสติดได้จากการสัมผัสโดยการเลียเช่นเดียวกัน
นสพ.พรพิทักษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำลายสุนัขจะมีเชื้ออีกหลายชนิดที่ก่อให้เกิดโรคได้ เช่น แบคทีเรียพาสตูเรลลา ซึ่งหากมีการถ่ายทอดมายังคนจะทำให้เกิดการติดเชื้อในผิวหนัง รวมทั้งยังมีแบคทีเรียกลุ่มสเตรปโตคอคคัสบางชนิดด้วย ซึ่งสามารถติดได้ทางบาดแผล หากได้รับเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าไปสู่เยื่อหุ้มสมอง จะส่งผลให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ข้ออักเสบ ม่านตาอักเสบ ส่วนแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ เฮลแมนนิ เมื่อได้รับเข้าไปอาจทำให้เป็นแผลในกระเพราะอาหาร จนถึงมะเร็งกระเพาะอาหารได้
“ขอเตือนไปยังผู้เลี้ยงสุนัขว่า ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการใช้ช้อนหรือภาชนะใส่อาหารร่วมกันกับสุนัขอย่างเด็ดขาด เพื่อสุขอนามัย และหลีกเลี่ยงการนำเข้าไปในร้านอาหารของคน ที่สำคัญควรนำสุนัขไปตรวจโรค ดูแลเรื่องความสะอาด เห็บ หมัดต่างๆ เพื่อป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียที่อาจนำมาสู่คนได้”
ฝ่าฝืน...มีสิทธิ์ไล่ออกจากร้านได้
กรณีการนำสัตว์เลี้ยงเข้าร้านอาหารนั้น เกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดัง กล่าวว่า กฎหมายเมืองไทยยังไม่ระบุโทษหรือความผิดชัดเจนในลักษณะเฉพาะ เช่น พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 พูดถึงเฉพาะแค่การเลี้ยงแล้วเป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ แต่ไม่ระบุชัดเจนถึงการพาสัตว์เข้าไปในพื้นที่สาธารณะหรือร้านอาหาร
ขณะที่ พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ก็ต้องให้มีประกาศของเจ้าพนักงานท้องถิ่นเสียก่อนว่าพื้นที่ใดห้ามเข้า หมายความว่า ระเบียบการห้าม ต้องเป็นไปตามเจตนาของทางร้าน
"ถ้าร้านติดประกาศห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาเเล้ว เกิดมีคนฝ่าฝืนนำเข้ามา เเจ้งเตือนเเล้วไม่เชื่อฟัง ร้านสามารถขับไล่ออกจากร้านได้ ถ้ายังฝ่าฝืนก็เรียกว่าละเมิด มีสิทธิ์เรียกค่าสินไหมทดแทนต่อไป"
อย่างไรก็ดีถึงแม้จะไม่มีกฎหมายชัดเจนว่าห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในร้านอาหาร แต่ถ้าหากสัตว์ของคุณไปก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น เจ้าของก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 ที่ระบุว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันเกิด แต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวัง อันสมควร แก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์ อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น
ทั้งนี้ บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดั่งกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิ ไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่ เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้
ประเด็นสำคัญอันเป็นหัวใจของเรื่องนี้คงอยู่ที่การเคารพกฎกติกา ระเบียบ สิทธิและสุขภาพของเพื่อนร่วมสังคม อย่าปล่อยให้ความรักและความหลงใหลที่มีต่อสัตว์นั้นส่งผลให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ภาพจาก http://pantip.com/topic/35883314 , http://pantip.com/topic/30457446 , เฟซบุ๊ก Red Skull V.SE


