posttoday

ศาลเตี้ยออนไลน์ระบายอารมณ์ พิพากษาเหยื่อทุกข์ระทม

09 ธันวาคม 2559

โดย...nนิติพันธุ์ สุขอรุณ

โดย...nนิติพันธุ์ สุขอรุณ

ในยุคที่สื่อโซเชียลออนไลน์สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องเปิดเผยใบหน้าหรือตัวตนต่อสาธารณะ นำไปสู่การตั้งตัวเป็น “ศาลเตี้ย” ตัดสินความผิดของผู้อื่น ซึ่งอาศัยเพียงภาพถ่าย-วิดีโอ ที่ถูกแชร์ส่งต่อกันมาและไม่ได้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริงครบถ้วนสมบูรณ์

จากปมปัญหาดังกล่าวทางสภาทนาย ความในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงได้จัดเสวนาเรื่อง “ศาลเตี้ยออนไลน์...คนโพสต์จ่อคุก...เหยื่อทุกข์ระทม” เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในที่สุด

พิจิตรา สึคาโมโต้ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คนรุ่นใหม่กำลังรับข่าวสารจากสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทุกเช้าทุกวัน ผ่านทางเฟซบุ๊กที่มีการแชร์ข่าวสารส่งต่อกันมา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่าย เพราะเฟซบุ๊กไม่จำเป็นต้องผลิตคอนเทนต์ใด เป็นเพียงพื้นที่สำหรับเปิดให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ตามสามารถเป็นนักข่าวได้ โดยไม่ต้องผ่านการศึกษาเรียนรู้ถึงจรรยาบรรณ จริยธรรม เฉกเช่นเดียวกับนักข่าวอาชีพที่มีสังกัด มีตัวตนอยู่จริง

ดังนั้น เมื่อใครก็ตามสามารถสร้างข่าวเองได้ทำให้ขณะนี้มีข่าวลือในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก และจากผลการวิจัยพบว่า ผู้คนจะเชื่อถือข่าวสารที่เพื่อนส่งต่อมาให้อ่านง่ายกว่าเลือกพิจารณารับสารด้วยตัวเอง บนพื้นฐานของความใกล้ชิดสนิทสนม ผลที่ตามมาคือ พฤติกรรมการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงลดน้อยลง

พิจิตรา กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สังคมออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ของการวิพากษ์วิจารณ์ ระบายอารมณ์อันสั่งสมมาจากความคับแค้นในสังคมโลกจริง ยิ่งโลกอินเทอร์เน็ตไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน ใบหน้า ก็ยิ่งกลายเป็นพื้นที่เปิดให้เกิดการวิพากษ์แบบรุมสกรัมหรือศาลเตี้ย พิพากษาความผิดในทันที

อย่างไรก็ตาม ศาลเตี้ยนี้เป็นการใช้ความเห็นของพวกมากลากไป นำไปสู่การแบ่งฝ่ายทางความคิดเห็น เช่น หากใครทำอะไรที่แตกต่างจากความคิดเห็นของตัวเองจะเกิดการรุมสกรัม หรือเรียกว่าการล่าแม่มดออนไลน์ บุกไปหาถึงหน้าบ้าน นำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผย สุดท้ายกลายเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้นสื่อมวลชนในยุคนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักหาข้อเท็จจริง ไขความกระจ่างนำเสนอสู่สังคมให้ได้

จากงานวิจัยพบว่า หลายข่าวที่คนสนใจไม่ได้เกิดจากการทำหน้าที่ของสำนักข่าว ที่สำคัญคนเชื่อข่าวจากคนใกล้ตัว และเชื่อข่าวจากคนแปลกหน้า เช่น การรีวิวสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว ทั้งหมดส่งผลต่อการตัดสินใจ ทางองค์กรสื่อจึงต้องผนึกกำลังสร้างกลไกตรวจสอบ และเป็นผู้กำหนดทิศทางกระแสของข่าวสารที่ถูกต้อง” พิจิตรา กล่าว

สมบัติ วงศ์กำแหง ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ สภาทนายความ กล่าวว่า ศาลเตี้ยออนไลน์ คือ การใส่ความคิดเห็นต่อบุคคลที่สาม นำไปสู่การหมิ่นประมาท โดยเหยื่อไม่มีโอกาสได้ชี้แจงตอบโต้ ถ้าหากสังคมเชื่อกระแสข่าวที่ออกมาในครั้งแรก ก็จะทำให้ผู้ตกเป็นข่าวกลายเป็นเหยื่อระทมทุกข์เร็วมากขึ้น และหลังจากกระแสข่าวที่มีความคิดเห็นรุนแรงผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็ไม่มีโอกาสชี้แจงได้อีกต่อไป กลายเป็นคนผิดของสังคมไปถาวร

ทั้งนี้ ผู้ที่โพสต์ข้อความ แชร์ หรือกดไลค์ ต้องมั่นใจว่าเรื่องที่แชร์เป็นเรื่องจริง หากเป็นเรื่องจริงก็จะไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้านหนึ่งเหล่าแอดมินเว็บต้องทำหน้าที่คัดกรองความคิดเห็นไม่ให้เกิดการหมิ่นประมาทด้วย หากควบคุมไม่ได้จะมีความผิดทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เรื่องส่วนตัวแม้จะเป็นเรื่องจริงก็ไม่ควรนำมาพิสูจน์ต่อสาธารณะ เช่น จับผิดการมีชู้ แต่หากเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อสังคมในวงกว้างสามารถทำได้ เพราะทำเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ” สมบัติ กล่าว

กนกพร ประสิทธิ์ผล นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ทุกวันนี้การสื่อสารรอบด้านมากขึ้น แตกต่างจากสมัยก่อนที่มีแต่การสื่อสารทางเดียว ดังนั้นสื่อมวลชนต้องทำหน้าที่ให้เกิดการเรียนรู้ เช่น ตรวจสอบข่าวให้ชัวร์ก่อนแชร์ เพื่อนำเสนอข่าวที่ถูกต้องให้กับประชาชน ด้านหนึ่งองค์กรสื่อต้องควบคุมกันเองเพื่อควบคุมจรรยาบรรณ จริยธรรม ทั้งยังต้องฝึกเรียนรู้ให้เท่าทันเทคโนโลยี ยกระดับฐานความรู้ของประชาชนด้วย แม้จะเป็นภาระหนักของสื่อ แต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

“คนในโลกออนไลน์กล้าแสดงความคิดเห็นมากกว่าแสดงออกต่อหน้ากัน และหากความคิดเห็นส่วนใหญ่หนักไปทางใดทางหนึ่ง จะทำให้ผู้ที่มีความเห็นต่างไม่กล้าแสดงความเห็นทันที ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันนี้มีการใช้คำหยาบคายเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย” กนกพร กล่าว

ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ กล่าวว่า สื่อมวลชนเป็นคนที่มีบทบาทช่วยเหลือสังคมอย่างมาก เพราะสมัยนี้มีข่าวออนไลน์ ทำให้การรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ คนที่ตั้งตัวเป็นสำนักข่าวแบบไร้ตัวตน มีเจตนามุ่งหมายละเมิดสิทธิของผู้อื่น สร้างเว็บข่าวปลอมขึ้นมาปั่นป่วน

“ใครคนใดคนหนึ่งอาจกลายเป็นเหยื่อระทมทุกข์ได้ทันที เป็นผลจากการแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้ผ่านการคัดกรอง แต่สังคมได้ตัดสินความผิดไปแล้ว ดังนั้นคำว่า ศาลเตี้ย คือบุคคลธรรมดาที่โพสต์ข้อความ ความคิดเห็น พิพากษาผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ต้องระวัง เพราะข้อความภาพถ่ายที่โพสต์ลงอินเทอร์เน็ตไม่ได้หายไปไหน ยังคงอยู่ในระบบเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งสามารถค้นหากลับมาเมื่อใดก็ได้ จึงขอย้ำเตือนให้คิดก่อนโพสต์ สิ่งที่กระทำลงไปอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และมาตรา 16 ซึ่งยอมความไม่ได้” ถวัลย์ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ