ช่างแอร์ในตำนาน
วันก่อน ผมหงุดหงิดแต่เช้า ถึงขั้นสบถออกมาดังๆ ว่า “นี่กูก้าวเท้าไหนออกจากบ้านวะ ทำไมถึงซวยแบบนี้”
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
วันก่อน ผมหงุดหงิดแต่เช้า ถึงขั้นสบถออกมาดังๆ ว่า “นี่กูก้าวเท้าไหนออกจากบ้านวะ ทำไมถึงซวยแบบนี้”
ซวยแรก คือ ตื่นมาคว้าถุงขยะไปทิ้งหน้าบ้าน บังเอิญถุงแตกน้ำเหม็นๆ เลยไหลเปื้อนมือ ก่อนพบว่าเช้านี้รถขยะไม่มา ถุงขยะที่หิ้วออกมาวางไว้ตั้งแต่เมื่อคืนจึงวางโด่เด่อยู่อย่างนั้น
ซวยสอง คือ ขึ้นรถจะไปทำงาน พอเปิดแอร์ กลับมีแต่ลมเสียงดังหึ่งๆ ไร้ซึ่งความเย็น
ผมบึ่งรถไปอู่ซ่อมแอร์รถยนต์ละแวกบ้าน ใบหน้าเรียบขรึมไร้ความรู้สึกของเจ้าของอู่ดูไม่เป็นมิตรเลย พอบอกอาการแอร์ที่เสีย เจ้าของเปิดฝากระโปรงรถดูแวบเดียวบอกสั้นๆ ว่า “ต้องเปลี่ยนลูกปืนใหม่ สายพานใหม่ เติมน้ำยาแอร์” ผมถามต่อ “มันเป็นอะไรเหรอครับ” เขาตอบห้วนๆ “มันถึงคราวของมันแล้ว ครบอายุการใช้งาน” ผมถามราคาค่าซ่อม “ไม่เกิน 2,000 บาท” เขาตอบ สองมือเท้าสะเอว
ด้วยความรีบเร่ง บวกวู่วาม จึงตัดสินใจจอดรถทิ้งไว้และกำชับว่าจะมาเอารถตอน 4 ทุ่ม เจ้าของร้านพยักหน้า หันหลังกลับไปทำงานต่อ ทิ้งความหงุดหงิดยกกำลังสองไว้ให้
ผมโบกวินมอเตอร์ไซค์ฝ่าเปลวแดดร้อน ต่อรถเมล์ไปทำงาน กว่าจะถึงออฟฟิศก็ล่าช้าเสียเวลาไป 2-3 ชั่วโมง วันนั้นทั้งวันไม่มีสมาธิทำงานเลย แผนการที่จดไว้ถูกขยำทิ้ง ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น หน้าบึ้งเหมือนยักษ์มาร ในใจว้าวุ่นสับสนด้วยความคิดลบๆ ในหัว
แม่งเอ๊ย ช่างซ่อมแอร์หน้าตาไม่รับแขกเลย - กูไม่น่าไปซ่อมอู่มึงเลย - ทิ้งรถไว้อะไหล่จะหายมั้ยวะ - แอร์รถเป็นอะไรของมันเนี่ย เพิ่งซื้อรถใหม่ได้ไม่ถึง 3 ปีแท้ๆ ทำไมพังง่ายจัง - จะโกงกูป่าววะ- โดนฟันหัวแบะแน่ๆ - ทำไมมันซวยแบบนี้ วันนี้มันเป็นอะไรของมันโว้ย
เวลาผ่านไปอย่างไร้สาระ กระทั่งเลิกงาน ผมรีบกลับบ้านด่วนจี๋ ใจนึกห่วง กังวล คิดไปเองต่างๆ นานาว่าจะต้องเจออะไรแย่ๆ เช่น เจอยำอะไหล่ เงินสดเป็นพันที่เก็บไว้ในรถอาจหาย เจอช่างแอร์พูดจายียวนกวนประสาท เอาเปรียบ ฟันค่าซ่อมรากเลือดแน่นอน
4 ทุ่มตรง เจ้าของเดินออกมารับด้วยสีหน้าเรียบขรึม ทว่าแววตาอ่อนโยนลงกว่าเมื่อเช้า ผมพลอยโอนอ่อนผ่อนตามไปด้วย พร้อมพูดเสียงนุ่มๆ ว่า “ขอโทษทีครับที่ต้องให้รอ ผมเลิกงานดึก” เขายิ้มเป็นครั้งแรก รอยยิ้มของคนเงียบขรึมช่างสดใสน่ารัก “ไม่เป็นไร พี่รอได้ มาเที่ยงคืนพี่ก็มารอเที่ยงคืน” ผมใจชื้น คำพูดของเขาเปิดเผยและจริงใจ ก่อนจะไถ่ถามอีกครั้งถึงสาเหตุการชำรุดของแอร์รถยนต์
ช่างแอร์รุ่นใหญ่เปิดฝากระโปรง อธิบายถึงต้นสายปลายเหตุอย่างช้าๆ และละเอียดยิบ เขาถามถึงอายุของรถ ระยะการวิ่ง แล้วอธิบายถึงอายุการใช้งานของแอร์รถที่ครบกำหนดของมัน สัญญาณเตือนที่ผมไม่ทันสังเกต ถ้ามาช้ากว่านี้อาจบานปลายทำให้ระบบต่างๆ เสียหายมากกว่านี้ เขาชี้อะไหล่แต่ละตัวให้ดู พูดถึงการทำงานของมัน ความรู้สึกคล้ายครูกำลังสอนนักเรียน เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมๆ กับเสียงปิดฝากระโปรงลง
“1,800 บาท” ช่างแอร์พูดด้วยสีหน้าเรียบขรึมตามสไตล์ ผมยื่นแบงก์พันให้ 2 ใบ ก่อนบอกขอบคุณด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเดิม เขายิ้มและบอกว่า “ร้านผมไม่รื้อใหญ่แน่นอน ตรงไหนเสีย ซ่อมได้ก็ซ่อม เปลี่ยนก็บอกว่าเปลี่ยน ไม่เชื่อลองไปถามลูกค้าคนอื่นๆ ดูก็ได้ว่าผมเป็นคนยังไง” เราจากกันด้วยประโยคนั้น
ผมขับรถกลับบ้านด้วยแววตาร่าเริง ผิวปากอารมณ์ดี ด้วยเหตุผลแรกคือ แอร์เย็นเฉียบ หอมสะอาดเหมือนซื้อรถใหม่ เหตุผลต่อมาคือ ความรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสียถูกปลดเปลื้องไปหมดไม่มีเหลือ คนละเรื่องกับเมื่อช่วงเช้าราวฟ้ากับเหว
คิดเล่นๆ ว่า เออเนอะ คนเรานี่แม่ง พอมีเรื่องให้อารมณ์ขุ่นมัวนิดเดียว ก็ทำตัวราวกับโลกทั้งใบเลวร้ายไปเสียหมด มองทุกอย่างด้วยความระแวง ไม่ไว้ใจ หาเรื่อง ตัดสินสิ่งที่เห็นแบบชุ่ยๆ หยาบๆ ปราศจากเหตุผล ปราศจากการไตร่ตรอง แก้วน้ำใสจึงขุ่นเทาเพราะความคิดแง่ลบที่เราเติมมันลงไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดูแย่กว่าความเป็นจริง
นาทีนั้นผมขอบคุณช่างแอร์ที่ผ่านเข้ามามอบบทเรียนเล็กๆ ไว้ให้จดจำ พร้อมบอกตัวเองว่า
ต่อไปต้องมีสติกว่านี้ ปล่อยวางกว่านี้ และมองโลกในแง่ดีกว่านี้


