พระมหากรุณาธิคุณ ต่อนักหนังสือพิมพ์
รายงานวันนี้ พิเศษทั้งหัวเรื่องและตัวเรื่อง กล่าวคือหัวเรื่องนั้นเขียนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี
โดย...ส.สต
รายงานวันนี้ พิเศษทั้งหัวเรื่องและตัวเรื่อง กล่าวคือหัวเรื่องนั้นเขียนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตนักหนังสือพิมพ์ ที่เขียนให้วารสารของสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย หลังจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มาทรงวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการสมาคมวันที่ 6 มี.ค. 2512
ส่วนตัวเรื่องนั้น บุตรดา ศรีเลิศชัย อดีตเลขาธิการสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 8 สมัย (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ) ค้นคว้าและเรียบเรียงตีพิมพ์ในจดหมายเหตุของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ วันที่ 13 พ.ย. 2559 วันที่สื่อมวลชนทุกองค์กรมาร่วมประชุมแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ตามเนื้อเรื่องนั้น บุตรดาเล่าถึงการวิวัฒนาการหนังสือพิมพ์ไทยนับแต่การเกิดของบางกอกรีคอร์ดเดอร์ ของ นพ.แดนบีช บรัดเลย์ เมื่อ 4 ก.ค. 2387 และมีวิวัฒนาการมาถึงปัจจุบัน
ในขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อคนหนังสือพิมพ์ องค์กรหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนสาขาอื่นๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ในส่วนของพระองค์เองก็ทรงโปรดการถ่ายภาพ เช่นภาพฝีพระหัตถ์ปรากฏในนิตยสารสแตนดาร์ด ของ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร เมื่อ พ.ศ. 2483 ดังนั้นพระราชดำรัสหลายครั้งประทับใจคนหนังสือพิมพ์ตลอด ดังเช่นวันเสด็จฯ ทรงเปิดแพรคลุมป้ายสมาคมนักหนังสือพิมพ์ฯ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2514 มีพระราชดำรัสตอนหนึ่ง ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้สำหรับท่านทั้งหลายว่า ทุกคน ไม่ว่าจะอาชีพใด ต่างมีหน้าที่ร่วมกันประการหนึ่งเหมือนกันหมด คือหน้าที่ที่จะทำตัวให้เป็นคนมีประโยชน์และมีค่าต่อบ้านเมืองและส่วนรวม ได้แก่การทำงานด้วยความตั้งใจจริง ประพฤติสุจริต และตั้งตนอยู่ด้วยคุณธรรม เพื่อให้ผลการปฏิบัตินั้นบังเกิดเป็นความสุขความเจริญและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหนังสือพิมพ์เป็นผู้เสนอข่าวสาร ความรู้ความเห็นรวมทั้งเป็นปากเสียงแทนผู้อื่น ทุกเรื่องทุกสิ่งที่ท่านนำมาลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แพร่หลายได้โดยรวดเร็ว และกว้างขวางอย่างไม่มีขอบเขต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความพิจารณาที่รอบคอบ ด้วยความสุจริตยุติธรรม และด้วยความสำนึกในความรับผิดชอบเป็นพิเศษอยู่เป็นนิตย์
เสฐียร พันธรังษี นายกสมาคมฯ กราบบังคมทูลด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ในวันที่เสด็จฯ มาทรงวางศิลาฤกษ์สมาคมนักหนังสือพิมพ์ฯ 6 มี.ค. 2512 ว่า บรรดานักหนังสือพิมพ์ ต่างยังรำลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรป ที่ว่า “พระเจ้าแผ่นดินกับนักหนังสือพิมพ์ ก็มีหน้าที่เหมือนกัน ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีและถูกต้องขึ้นในมวลชน”
และที่ลืมไม่ได้คือพระราชดำรัส 8 มิ.ย. 2510 ที่ตรัสแก่สื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกาว่า “ผู้มีหน้าที่สื่อข่าวก็ดี หรือมีหน้าที่ประสานความเข้าใจระหว่างคนหลายชาติ หลายชั้นก็ดี ควรสำนึกอยู่เสมอว่า งานของเขาเป็นงานสำคัญและมีเกียรติสูง เพราะหมายถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการร่วมกันสร้างสันติสุขแก่โลก การแพร่ข่าวโดยขาดความระมัดระวัง หรือแม้แต่คำพูดง่ายๆ เพียงนิดเดียว ก็สามารถจะทำลายงานที่ผู้มีความปรารถนาดีทั้งหลายพยายามแจ้งไว้ด้วยความยากลำบากเป็นเวลาแรมปี หากจะแก้ตัวว่าการพูดพล่อยๆ เพียงสองสามคำนี้ เป็นเรื่องเล็ก ไม่น่าเก็บมาถือเป็นเรื่องใหญ่เลย ก็ไม่ถูก เหมือนฟองอากาศนิดเดียว ถ้าเข้าไปอยู่ในเส้นเลือด ก็จะสามารถปลิดชีวิตคนได้ทั้งคน และน้ำตาลหวานๆ ก้อนเล็กนิดเดียว ถ้าใส่ลงไปในถังน้ำมันรถ ก็จะทำให้เครื่องจักรดีๆ ของรถเสียได้โดยสิ้นเชิง” ดังนี้เป็นต้น
สำหรับวันประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ของวงการหนังสือพิมพ์ เมื่อ ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ในฐานะนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กราบทูลเชิญเสด็จฯ ทรงเปิดแพรคลุมป้ายอาคารสมาคมเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2514 เวลา 16.30 น. ช่วงเวลาที่ผู้บริหารสมาคมและผู้ที่เกี่ยวข้องหัวใจพองโต เมื่อ สมศรี หงสกุล ทูลเกล้าฯ ถวายสมุดประมวลเรื่องและภาพหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ในวันรัชดาภิเษก รวมทั้งภาพข่าวด่วนนับตั้งแต่ทั้งสองพระองค์เสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเข้าสู่ปะรำพิธี และภาพทรงกดสวิตช์ไฟฟ้า เปิดแพรคลุมป้ายชื่อสมาคมฯ ที่เพิ่งผ่านไปชั่วครู่ ภาพทั้งนั้นยังความประหลาดพระทัยถึงกับทรงรับสั่งถามว่า “ทำไมรวดเร็วเช่นนี้” เจน นิมมานนิตย์ และ สรรพสิริ วิรยศิริ หัวหน้ากลุ่มช่างภาพ ได้กราบบังคมทูลว่า “มีห้องมืดพิเศษอยู่ชั้น 3 พระพุทธเจ้าข้า”
(สมัยก่อน การถ่ายภาพต้องใช้ฟิล์ม ต้องล้างฟิล์มในห้องมืด ผึ่งให้แห้งจึงอัดเป็นภาพได้ ซึ่งต้องใช้เวลา)
ไม่มีใครคาดคิดพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จขึ้นชั้น 3 เพื่อทอดพระเนตรห้องมืด ที่มี ประดิษฐ์ ตัณฑ์กำเนิด ช่างภาพจาก นสพ.สยามรัฐ เป็นผู้ทำหน้าที่ล้างฟิล์ม และอัดขยายภาพอยู่ในห้องนั้น ทั้งสองพระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้วเสด็จฯ กลับ เวลา 17.30 น.
ประดิษฐ์เล่าให้บุตรดาฟังว่าห้องมืดพิเศษคือห้องน้ำที่ดัดแปลงชั่วคราว เมื่อเสด็จทอดพระเนตร ทรงซักถามพอพระราชหฤทัยก็เสด็จฯ กลับ ส่วนขั้นตอนการล้างฟิล์มและอัดภาพใช้เวลา 25 นาที เสร็จแล้วใส่กรอบทูลเกล้าฯ ถวายได้
มานิจ สุขสมจิตร อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อนักหนังสือพิมพ์ว่า รัฐบาลชุดหนึ่งที่มีอำนาจใน พ.ศ. 2535 ได้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาทให้ลงโทษ จำคุก 2 ปี และปรับ 2 แสนบาท เท่านั้นไม่พอ รัฐบาลที่ว่านี้เสนอ แก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้แรงขึ้นอีก โดยให้เพิ่มโทษปรับทางแพ่งเป็น 20 เท่าของเงินปรับในคดีอาญา (2 แสนบาท) หรือเท่ากับ 4 ล้านบาท ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงยับยั้งกฎหมายนั้น ตามพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญ คือไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ มิเช่นนั้น นักหนังสือพิมพ์นอกจากจะถูกจำคุก 2 ปี ยังต้องชดใช้เงินสูงถึง 4 ล้านบาท เมื่อมีคดีหมิ่นประมาท ซึ่งมานิจ กล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่วงการสื่อมวลชนหาที่เปรียบมิได้


