ความเป็นธรรมอยู่เหนือกฎหมาย
โดย...สมผล ตระกูลรุ่ง
โดย...สมผล ตระกูลรุ่ง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงรอบรู้ในศาสตร์ทุกสาขา ก่อนขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงศึกษาทางสาขาวิทยาศาสตร์ โดยศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงต้องรับภาระอันใหญ่หลวงในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศ พระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนไปศึกษาทางด้านกฎหมายการปกครอง เพื่อเตรียมพระองค์กลับมาปกครองแผ่นดินสยาม
ระบบกฎหมายสากลที่นิยมใช้กันอยู่มี 2 ระบบ คือ ระบบ Common Law และ Civil Law
ระบบ Common Law เราเรียกกันว่า ระบบกฎหมายจารีตประเพณีเป็นระบบกฎหมายที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่ใช้คำตัดสินของศาลเป็นกฎหมาย ต้นแบบมาจากประเทศอังกฤษ ประเทศในโลกที่ใช้กฎหมาย Common Law จึงเป็นประเทศที่อยู่ใต้อิทธิพลของอังกฤษ เช่น อเมริกา แคนาดา รวมถึงประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้น เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย
ระบบ Civil Law เราเรียกว่า ระบบประมวลกฎหมาย หรือระบบกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร จุดกำเนิดมาจากยุโรปตั้งแต่สมัยโรมันเป็นการรวบรวมจารีตประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ประเทศที่ใช้กฎหมายระบบนี้ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ไทยเราก็ใช้ระบบ Civil Law
นักกฎหมายไทยเราเคยชินกับระบบประมวลกฎหมาย ในขณะที่ศึกษากฎหมาย ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า คำพิพากษาของศาลจะเป็นกฎหมายได้อย่างไร ผู้พิพากษาจะใช้หลักเกณฑ์ที่ใดมาตัดสินคดีความ เมื่อไม่มีหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้จะเกิดความเป็นธรรมได้อย่างไร ต่อเมื่อมาทำงานจึงเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วพื้นฐานของกฎหมายก็คือศีลธรรม คือจารีตประเพณี ผู้พิพากษาจึงใช้คุณธรรมจริยธรรมที่มีอยู่ในมนุษย์ เป็นเครื่องมือในการตัดสินคดี ก็จะเกิดความเป็นธรรมในทุกกรณี ระบบประมวลกฎหมายเสียอีก ที่อาจอำนวยความยุติธรรมได้ไม่เต็มที่ เพราะนักกฎหมายมักจะติดยึดอยู่กับตัวบทกฎหมาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมได้ในทุกกรณี
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงอยู่เหนือกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ท่านอยู่เหนือกฎหมายด้วยองค์ท่านเอง เราจะเห็นได้จากพระบรมราโชวาทที่พระองค์พระราชทานให้นักกฎหมายในโอกาสต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์เข้าใจกฎหมายอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ทั้งตัวกฎหมายและการใช้กฎหมาย ดังนี้
“...งานในด้านกฎหมายเป็นงานที่สำคัญสำหรับบ้านเมือง เพราะว่าบ้านเมืองของเราจะต้องมีกฎเกณฑ์ มีระเบียบการที่แน่นแฟ้น เพื่อที่จะให้รักษาความยุติธรรมในหมู่ชน ความยุติธรรมนี้บางที่ก็หายาก เพราะว่าพวกเราอยู่ในจำพวกที่ย่อมต้องการนึกถึงผลประโยชน์
ผลประโยชน์จะต้องอยู่ในขอบเขต มิฉะนั้นจะมีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน กฎหมายก็มีไว้สำหรับช่วยบรรเทาเท่านั้นเอง คือเมื่อความเบียดเบียนเกิดขึ้นแล้ว ก็แก้ไขเพื่อไม่ให้ความเบียดเบียนนั้นลุกลามไป ถ้าเราสามารถที่จะรักษาความเป็นระเบียบและความยุติธรรมได้ โลกเราก็จะอยู่เย็นเป็นสุขมีความสงบ เป็นรากฐานสำหรับให้มีความเจริญก้าวหน้าได้ตามความประสงค์...”
“...ถ้าเราจะปกครองหรือช่วยให้บ้านเมืองมีความสงบสุข เรียบร้อย เราจะต้องปฏิบัติตรงตามกฎหมายทั้งหมดไม่ได้ จะต้องคำนึงถึงหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ต้องอยู่ด้วยความอะลุ่มอล่วย ไม่กดขี่ซึ่งกันและกัน”
“หลักที่ว่าทุกคนต้องทราบถึงกฎหมายและต้องทำตามกฎหมายนั้น รู้สึกว่าบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่ากฎหมายไม่ถึงประชาชน ต้องนึกบ้างว่าเป็นความผิดทางราชการที่ไม่สามารถจะนำกฎหมายไปให้ถึงประชาชน...”
“...กฎหมายทั้งปวงนั้น เราบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นปัจจัยสำหรับรักษาความยุติธรรม กล่าวโดยสรุปคือให้เป็นแบบแผนแห่งความประพฤติปฏิบัติของมหาชนสถานหนึ่ง กับใช้เป็นแม่บทในการพิจารณาตัดสินความประพฤตินั้นๆ ให้เป็นไป โดยถูกต้องเที่ยงตรงอีกสถานหนึ่ง...
โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งไปกว่าความยุติธรรม หากควรจะต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย และอยู่เหนือกฎหมาย การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายเท่านั้น ดูจะไม่เป็นการเพียงพอจำต้องคำนึงถึงความยุติธรรม ซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้...”
“...กฎหมายทั้งปวงจะธำรงความยุติธรรมและความถูกต้องเที่ยงตรง มีความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมหรือไม่เพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ หากนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ หรือด้วยเจตนาไม่สุจริตต่างๆ กฎหมายก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นภัยต่อประชาชน...”
“...กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้ เพื่อรักษาความยุติธรรม ผู้ใดก็ตามแม้ไม่รู้กฎหมาย แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติด้วยความสุจริตแล้ว ควรจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายอย่างเต็มที่ ตรงกันข้ามคนที่รู้กฎหมายแต่ใช้กฎหมายไปในทางทุจริต ควรต้องถือว่าทุจริต...”
“...กฎหมายนี้มีช่องโหว่เสมอ ถ้าเราถือโอกาสในการมีช่องโหว่ของกฎหมาย เพื่อการทุจริตนั้นเป็นสิ่งที่เลวทราม และทำให้นำไปสู่ความหายนะ แต่ถ้าใช้ช่องโหว่ในกฎหมายเพื่อสร้างสรรค์ก็เป็นการป้องกันมิให้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายในทางทุจริต...”
“...กฎหมายนั้น โดยหลักการแล้วจะต้องบัญญัติขึ้น ใช้เป็นอย่างเดียวกันและเสมอกันหมดสำหรับคนทั้งประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้กฎหมายจะต้องตระหนักในความรับผิดชอบของตนเองอยู่ตลอดเวลา ในอันที่จะใช้กฎหมายเพื่อธำรงรักษาและผดุงความยุติธรรม...”
“...กฎหมายนั้นไม่ใช่ตัวความยุติธรรม เป็นแต่เพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับใช้ในการรักษาและอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายใช้เพื่อรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อรักษาตัวบทของกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยาตลอดจนเหตุและผลตามความเป็นจริงด้วย...”
“...กฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับกับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงกันข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีและอยู่ได้ด้วยความสงบ...”
พระบรมราโชวาทข้างต้นเป็นเหมือนปรัชญาหรือภาษิตกฎหมาย ที่วางแนวทางการใช้กฎหมายเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง พระองค์สอนไว้หมดแล้ว อยู่ที่นักกฎหมายผู้มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย จะเพียงแต่จำเอาไปอวดหรือจะนำไปปฏิบัติตามหรือไม่ เท่านั้นแหละ


