posttoday

อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ‘พันทิป’ สู่ทศวรรษที่ 3

23 ตุลาคม 2559

มนุษย์เรามีเกิดก็ต้องมีดับเป็นเรื่องธรรมดาโลก ธุรกิจ วัตถุ สิ่งของ สถานที่ หรือสิ่งอื่นใดก็มีวงจรชีวิตมิได้แตกต่างกัน

โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

มนุษย์เรามีเกิดก็ต้องมีดับเป็นเรื่องธรรมดาโลก ธุรกิจ วัตถุ สิ่งของ สถานที่ หรือสิ่งอื่นใดก็มีวงจรชีวิตมิได้แตกต่างกัน เมื่อเกิดได้ก็ดับได้เพียงแต่ระยะเวลาหลังเกิดจะอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน นั่นก็ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เลือกเดิน ดังเช่นเว็บไซต์ต่างๆ ที่นับวันมีหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ส่วนหน้าเก่าๆ บางรายที่เคยรุ่งเรืองมากในอดีต ปัจจุบันก็ลาลับ คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักกันแล้ว แต่สำหรับเว็บไซต์พันทิปดอทคอมยังเป็นหนึ่งในเว็บไซต์หน้าเก่าที่ยังเดินต่อมาได้จนถึงวันนี้รวมอายุ 20 ปีแล้ว

อภิศิลป์ ตรุงกานนท์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีเว็บไซต์พันทิป เปิดเผยว่า การจดทะเบียนโดเมนเนมพันทิปดอทคอมเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2539 โดย วันฉัตร ผดุงรัตน์ ด้วยพื้นฐานความคิดที่เชื่อเหลือเกินในเวลานั้นว่าอินเทอร์เน็ตจะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตคนได้ โดยในช่วงแรกพันทิปเป็นเหมือนนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์แปลบทความด้านไอทีมาให้คนอ่านและเป็นพื้นที่สำหรับซื้อขายสินค้าไอทีตั้งแต่โลกนี้ยังไม่มีคำว่า อี-คอมเมิร์ซ แต่ช่วงนั้นการซื้อขายสินค้าบนออนไลน์ยังไม่เกิด พันทิปจึงถูกเปลี่ยนมาเป็นเว็บบอร์ด เป็นชุมชนให้คนพูดคุยเรื่องต่างๆ แทน ซึ่งผลปรากฏว่าทำให้ชื่อพันทิปเกิดและโตได้

สำหรับ อภิศิลป์ เข้ามาทำพันทิปในช่วงปีที่ 2 ที่ก่อตั้ง ซึ่งก็เป็นช่วงที่เปิดพันทิปเป็นเว็บบอร์ดนั่นเอง โดยช่วงแรกนั้นเปิดสภากาแฟทั้งหมด 8 ห้อง ได้แก่ เฉลิมไทย โทรโข่ง บลูแพลนเน็ต สยามสแควร์ ราชดำเนิน ศุภชลาศัย รัชดา ไร้สังกัด จากนั้นก็ได้อยู่ปรับปรุงพัฒนาเว็บไซต์พันทิปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้

อภิศิลป์ ระบุว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องเล่ามากมาย ในยุคปี 2539 มี 3 เว็บไซต์หลัก คือ พันทิป สนุก และหรรษา ซึ่งเป็นกลุ่มยุคแรกของดอทคอมเมืองไทย การที่พันทิปผ่านเรื่องราวมากมายจนมาครบ 20 ปี จึงอยากทำอะไรสักอย่าง เลยออกหนังสือชื่อว่า เน็ตเมื่อวานซืน เพื่อเล่าประวัติศาสตร์สังคมออนไลน์ของเมืองไทย

หนังสือเล่มนี้จะเล่าตั้งแต่ยุคที่เพิ่งเริ่มต่ออินเทอร์เน็ตผ่านการต่อโมเดม เล่นไอซีคิว เพิร์ต โดยอยากจะเล่าประวัติศาสตร์แบบอ่านง่ายผ่านตัวแทนคนใน 3 ช่วงอายุ คือ คนอายุกว่า 40 ปี กว่า 30 ปี และกว่า 20 ปี ซึ่งจะผ่านประสบการณ์การใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ร้อยเรียงออกมาเป็นตัวหนังสือให้คนได้อ่าน โดยจำหน่ายให้คนทั่วไป อีกทั้งจะบริจาคหนังสือนี้ให้มูลนิธิห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อนำไปกระจายสู่ห้องสมุด 102 แห่งทั่วไทยด้วย

อภิศิลป์ เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวระหว่างทาง 20 ปี ของพันทิป ว่า เมื่อ 11 ปีก่อนเป็นช่วงที่เว็บไซต์ต่างชาติมากมายมาซื้อเว็บไซต์ไทยไป เช่นเดียวกับพันทิปที่มีคนมาขอซื้อเช่นกัน แต่ทางผู้บริหารก็ไม่ได้ขายพันทิปออกไปให้ใคร เพราะช่วงนั้นพันทิปยังไปได้เรื่อยๆ และมองว่าพันทิปเป็นซอฟต์แวร์อย่างหนึ่งในระบบ เปรียบเสมือนแพลตฟอร์มที่มีคุณค่ากับคน

หัวใจของพันทิปอยู่ที่ความรู้ของคนไทยที่นำเข้ามาป้อนในพันทิป ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดหรือขาย เพราะมองว่าหากขายพันทิปไป คนที่นำความรู้มาป้อนสู่พันทิปก็ไม่ได้เงินด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกๆ ที่จะทำเช่นนั้น จึงเดินหน้าต่อโดยหวังให้พันทิปเป็นเว็บไซต์คนไทยและจะไม่ขายเพื่อทำกำไร ซึ่งพันทิปก็โตได้เรื่อยๆ มาจนถึงวันนี้

ทั้งนี้ การที่พันทิปยังยืนหยัดอยู่มาได้ เพราะพันทิปไม่ได้อยู่นิ่งๆ ปล่อยผ่านไปตามกาลเวลา แต่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้พันทิปยังเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ จนถึงวันนี้

อภิศิลป์ ยกตัวอย่างว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พันทิปเริ่มต้นด้วยหน้าตาเว็บไซต์ที่มีพื้นหลังสีดำ แต่ยุคต่อมาปี 2541 ก็ได้ลองเปลี่ยนการออกแบบหน้าแรกโดยใช้พื้นหลังสีขาวแทน

จากนั้นก็ได้ทดลองเปลี่ยนหน้าต่างเว็บไซต์เป็นสีฟ้า แต่เปลี่ยนได้เพียง 4 วัน ก็ได้รับเสียงสะท้อนจากสมาชิกที่ไม่พึงพอใจ เพราะสีฟ้าทำให้รู้สึกแสบตา จึงต้องเปลี่ยนสีใหม่ ผลก็คือทำให้พันทิปกลายเป็บเว็บไซต์ที่มีสีม่วงตั้งแต่วันนั้นมา โดยสาเหตุที่เลือกจบด้วยสีม่วงเพราะเป็นสีที่ดูแล้วดึงดูดคนให้เข้ามาเปิดกระทู้ได้ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในพันทิปจะต้องอยู่บนพื้นฐานการรักษาชุมชนที่มีอยู่เอาไว้

อภิศิลป์ กล่าวว่า เฟซบุ๊กมีพื้นหลังเป็นสีขาวเพราะเหมาะกับการเลื่อนขึ้นลงดูผ่านๆ แต่ไม่เหมาะเข้าไปอ่านนานๆ ส่วนพันทิปการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะมีโจทย์หลัก คือ สีม่วง เหมือนเดิม 5 ปีก่อนเคยพัฒนาแล้ว โดยวันแรกที่ทดลองเปิดตัวสีม่วงแบบใหม่ปรากฏว่ามีสมาชิกจับได้ว่าเปลี่ยนแปลง เพราะถึงแม้เป็นสีม่วงเหมือนเดิมแต่รู้สึกแสบตาขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางพันทิปจึงทดสอบใช้คอมพิวเตอร์เปิดหน้าเว็บไซต์พันทิปที่ใช้สีม่วงเดิมเทียบกับสีม่วงแบบใหม่ แล้วนำเครื่องวัดแสงที่ตากล้องใช้มาวัดแสง ปรากฏว่าถ้าใช้สีม่วงแบบใหม่เว็บไซต์จะสว่างกว่าเก่าจริงๆ จึงต้องไปปรับตัวอักษรกับพื้นหลังให้ความสว่างของหน้าเว็บไซต์พันทิปยังใกล้เคียงสีม่วงแบบเดิมที่สุด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังทราบแถลงการณ์ สํานักพระราชวัง เรื่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต พันทิปจึงใช้วิธีคุมเว็บไซต์ด้วยโทนสีเทาไปก่อน แต่พบว่าการคุมโทนสีแบบนี้ทำลำบาก ในวันที่ 14 ต.ค.จึงดำเนินการปรับสีพื้นหลังเว็บไซต์และตัวอักษรทีละจุด

หน้าเว็บไซต์พันทิปสำหรับน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และร่วมแสดงความไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะเป็นโทนสีขาวดำและเทาเช่นนี้ไปถึงวันที่ 28 ต.ค. 2559 จากนั้นก็จะกลับมาเป็นสีปกติ แต่จะมีแถบสีดำด้านบนคงไว้ซึ่งเป็นการแสดงความไว้อาลัย

ขณะเดียวกัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์พันทิปก็ได้เปิดรวมหัวข้อ (แท็บ) ชื่อว่า “คิดถึงพ่อ” บนหน้าแรกของพันทิปเพื่อรวบรวมกระทู้เก่าๆ ที่สะสมอยู่ในพันทิปมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ที่มีการพูดคุยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไว้ให้สมาชิกพันทิปได้มาเปิดอ่านกัน เพราะเชื่อว่าในเวลาเช่นนี้ทุกๆ คนคงอยากจะจดจำเรื่องราวดีๆ สิ่งดีๆ เกี่ยวกับพระองค์

อภิศิลป์ ระบุว่า ถ้าให้เปรียบบุคลิกของพันทิปเป็นใครสักคนนั้น ทางพันทิปเองก็เคยตั้งโจทย์นี้ขึ้นมาเมื่อ 5 ปีก่อน เวลานั้นก็นึกถึงอยู่ 2 คน คือ แฮรี่ พอตเตอร์ กับ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ซึ่งเป็นตัวละครจากหนังสือและภาพยนตร์เรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ โดยอยากให้พันทิปเป็นเหมือนการนำตัวละครทั้งสองคนนี้ผสมผสานกัน คือ อยากให้พันทิปเป็นวัยรุ่นมากขึ้น มีความกล้าหาญ รักเพื่อน พร้อมแบ่งปันกับเพื่อน เหมือน แฮรี่ พอตเตอร์ แต่ก็อยากให้มีภูมิปัญญาแบบเดิมๆ เหมือนดัมเบิลดอร์ จากที่มองไว้เมื่อ 5 ปีก่อน มาถึงวันนี้ก็เชื่อว่าพันทิปได้สอดคล้องกับที่ตั้งใจ

ทว่า ยังมีสิ่งหนึ่งที่ อภิศิลป์ รู้สึกเป็นห่วง คือ บรรยากาศการรังแกกันบนโลกออนไลน์ (Cyber-Bullying) ที่เกิดขึ้นมากบนทุกแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์วันนี้ มีคนมาจิกกัด ประชด ข่มเหง หรือแม้กระทั่งการตามล่าแม่มด ซึ่งก็คือการใช้กฎหมู่ไปตัดสินลงโทษคนที่มีความคิดหรือการกระทำที่แตกแยกออกไป พันทิปมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นบนพันทิปจึงพยายามควบคุมให้เหมาะสม เช่น ถ้ามีการนำข้อมูลส่วนตัวใครมาเผยแพร่มากเกินไปก็จะลบทิ้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ทีมงานต้องทำงานหนักขึ้น ติดตามพันทิปตลอด 24 ชั่วโมง

อภิศิลป์ อธิบายว่า จะเริ่มต้นจากการใช้ซอฟต์แวร์ตรวจจับก่อนคร่าวๆ โดยดูคำหยาบคาย คำที่เป็นกุญแจสำคัญ (คีย์เวิร์ด) บางคำ จากนั้นก็มีการให้สมาชิกด้วยกันแจ้งร้องเรียนเข้ามาและมีทีมงานพันทิปเองที่คอยดูอยู่ตลอด หากมองเห็นประเด็นใดอ่อนไหวมากๆ ก็เข้าไปจัดการทันที

“สังคมออนไลน์นั้น เป็นนวัตกรรมของมนุษยชาติ ถ้าใช้ให้ดีก็เปิดโอกาสให้คนเสนอตัวเอง ถ้านำเสนอสิ่งที่ดีก็ส่งผลให้สังคมดีขึ้น แต่บางคนใช้ในมุมที่ไม่ดี กลั่นแกล้ง ทำลายคนอื่น อย่างที่เรียกว่า Cyber-Bullying ซึ่งพันทิประวังมาก ถ้าการเข้ามาใช้ไปกระทบกับคน เราพยายามจัดการเรื่องนี้ แต่ก็ยอมรับว่าไปห้ามไม่ให้คนทำคงลำบาก” อภิศิลป์ กล่าว

นอกจากนี้ อภิศิลป์ เชื่อว่า ในอนาคตคงจะมีคนพยายามทำชุมชนออนไลน์อื่นๆ มาแทนที่พันทิปเรื่อยๆ หรืออาจจะมีการทำเทคโนโลยีขึ้นมาตอบคำถามให้คนในที่สุด แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้คงไม่ง่าย เพราะเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นคงต้องโดดเด่นมากๆ จึงจะมาแทนที่พันทิปได้ อาจจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาตอบคำถามอัตโนมัติ แต่การทำเอไอที่ตอบได้ทุกคำถามนั้นคงเป็นเรื่องยาก ขณะที่พันทิปมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ดียิ่งขึ้น โดยจะตั้งคำถามให้ตัวเองเสมอว่า เราจะฆ่าพันทิปอย่างไร และต้องมีของใหม่ที่ฆ่าตัวเองออกมาได้เรื่อยๆ

ยุคต่อไปของพันทิปนั้น อภิศิลป์ วาดไว้ว่า อนาคตหากค้นหาเรื่องอะไรก็ตาม ต้องมีคำตอบที่เชื่อถือได้ 99% บนพันทิป จากปัจจุบันอาจมีคำตอบที่เชื่อถือได้ 10-20% โดยเส้นทางไปสู่การเป็นเว็บไซต์มีคำตอบน่าเชื่อถือได้ ได้แก่ การตั้งบัญชีผู้เชี่ยวชาญให้สมาชิกที่มีอาชีพเฉพาะทาง มีบัญชีเฉพาะมาตอบคำถามด้านนั้น ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คำตอบในกระทู้ได้ดีขึ้น มีแคมเปญให้คนถามคำถามอะไรก็ได้ แล้วพันทิปจะไปเชิญผู้รู้เรื่องนี้มาตอบ การมีเครื่องมือเรียนรู้สมาชิก ดูว่าสมาชิกแต่ละคนชอบตอบกระทู้แนวไหน และเครื่องมือตอบแบบอัตโนมัติ ที่จะทำให้คนเข้าถึงคำตอบที่น่าเชื่อถือได้ง่ายที่สุดนั่นเอง

นี่คือเส้นทางของพันทิปดอทคอม เว็บไซต์คนไทยที่อยู่คู่ไทยมาอย่างยาวนาน

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ