"ยากที่สุดในชีวิต เมื่อต้องอ่านข่าวที่ไม่มีใครอยากได้ยิน"วีรศักดิ์ ขอบเขต
เบื้องหลังการอ่านข่าวที่ยากที่สุดในชีวิตของ "วีรศักดิ์ ขอบเขต" ผู้ประกาศข่าวพระราชสำนักแห่งกรมประชาสัมพันธ์
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ทันทีที่เครือข่ายสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจกำลังร่ำไห้ หลังจากอ่านข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
กระแสชื่นชมให้กำลังใจก็เกิดขึ้นตามมา
กว่า 20 ปีบนเส้นทางสื่อมวลชน ป๋อง-วีรศักดิ์ ขอบเขต ผู้ประกาศข่าวหนุ่มเเห่งกรมประชาสัมพันธ์ เล่าว่า เพิ่งได้พบกับช่วงเวลาในการอ่านข่าวที่ยากที่สุดในชีวิต เมื่อได้รับเเจ้งว่า ต้องทำหน้าที่อ่านข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
''เวลานั้นผมรู้สึกเเย่ที่สุดในชีวิตการทำงาน เป็นเรื่องยากเเละเเย่ เมื่อมันเป็นข่าวที่ทุกคนไม่อยากได้ยิน''
วีรศักดิ์ เล่าต่อว่า ทันทีที่รู้ว่าพระองค์ท่านสวรรคต ก็เกิดอาการโศกเศร้าเสียใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว กระทั่งรับทราบว่าจะต้องเป็นผู้ทำหน้าที่อ่านชิ้นนี้ต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ จึงกลายเป็นภาวะที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ทันทีที่ได้รับสคริปต์ เขาตัดสินใจหลับตา พนมมือ อธิษฐานถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นครั้งสุดท้าย
''เป็นการเตรียมตัวที่น้อยมาก ก่อนอ่านเราพนมมือขอพรพระองค์ท่าน อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดถวายท่านเป็นครั้งสุดท้าย และดีที่สุดของการเป็นผู้ประกาศข่าว ขอให้ลูกมีสมาธิ มีสติในการทำงานเพื่อให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ...เเต่มันก็ยากจริงๆ''
หลังเสร็จสิ้นการอ่านข่าวประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ ภาพถูกตัดไปยังสารคดีพระราชประวัติเเละพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วีรศักดิ์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะข่าว ก่อนร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
''พอตัดจบ เข้าสู่ช่วงสารคดีต่อ เราก็ฟุบ ร้องไห้เลย''
ผู้ประกาศข่าววัย 44 รายนี้ รับหน้าที่อ่านข่าวพระราชสำนักมาตั้งเเต่ปี พ.ศ.2554 เขาบอกว่า ความยากลำบากในการทำงานคือ ภาษาเเละเนื้อหาที่จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาอย่างถูกต้องเเม่นยำ ผู้อ่านต้องมีสมาธิเเละความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
นอกจากทักษะความเชี่ยวชาญที่ได้รับจาการทำงาน สิ่งสำคัญที่ฟูมฟักเเละผลักดันให้เขาเติบโตขึ้นก็คือ พระราชดำรัสหรือพระบรมราชาโอวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
"ทุกครั้งที่ได้อ่านข่าวในพระราชสำนัก พระราชกรณียกิจต่างๆของพระองค์ท่านทำให้เราประทับใจ โดยเฉพาะพระบรมราโชวาท หรือพระราชดำรัส สังเกตได้ว่า ทุกอย่างที่ท่านสอนนั้นคือความจริงทั้งหมด
สิ่งหนึ่งที่ผมยึดถือมาเสมอคือ เวลาปิดทองพระ ไม่จำเป็นต้องข้างหน้าเสมอไป ข้างหลังก็ได้ ปิดให้เต็มเดี๋ยวมันก็ไปถึงข้างหน้าเอง ผมมองว่าเป็นความจริง เเละถือเป็นคติเตือนในการทำงาน เพราะบางทีเราอาจจะไม่ต้องอยู่ข้างหน้าหรือออกหน้าออกตาเสมอไป เราอยู่ข้างหลัง ช่วยกันไป สุดท้ายทองก็ไปอยู่ด้านหน้าเอง เหมือนปิดทองหลังพระ ผมจำอยู่เสมอ ข้างหลังก็ทำงานได้''
แรงบันดาลใจดังกล่าวสอดคล้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506 ที่ระบุไว้ว่า
“การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้”
วีรศักดิ์ บอกว่า คนไทยควรยึดถือหลายสิ่งหลายอย่างของพระองค์ท่าน ทั้งความมีเมตตา เความห่วงใยเพื่อนมนุษย์เสมอ ที่ท่านเพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำเพื่อพสกนิกรตลอดมา
''ผมว่าสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองดีได้คือความรักเเละสามัคคี ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเน้นย้ำเสมอ ถ้าคนไทยมองท่านเป็นเเบบอย่างเเละปฎิบัติเหมือนท่านได้ บ้านเมืองเราคงพบเจอเเต่ความเจริญก้าวหน้า'' ผู้ประกาศหนุ่มทิ้งท้าย
แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 เสด็จสู่สวรรคาลัย แต่พระราชดำรัสและเเนวทางที่ทรงพระราชทานไว้แก่ปวงชนจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอันสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของคนไทยไปตราบนิจนิรันดร์


