"พระทรงสถิตในหัวใจราษฎร์"
พระองค์ได้แสดงให้ประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์ว่า ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ ทรงสามารถดำเนินการบรรลุพระราชสัตยาธิษฐาน ตามพระปฐมบรมราชโองการ
โดย...กองบรรณาธิการโพสต์ทูเดย์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบิร์น เมืองแคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระบรมเชษฐาธิราช ซึ่งเสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน เนื่องด้วยยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อในปีพุทธศักราช ๒๔๘๙
กระทั่งวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระบรมนามาภิไธย ตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
พระองค์ได้แสดงให้ประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์ว่า ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี แห่งการครองราชย์ที่ผ่านมา (พุทธศักราช ๒๔๘๙-๒๕๕๙) พระองค์คือประมุขของประเทศ พระผู้ทรงเป็นผู้นำแห่งแผ่นดินอย่างแท้จริง ทรงสามารถดำเนินการบรรลุพระราชสัตยาธิษฐาน ตามพระปฐมบรมราชโองการ กล่าวคือ ทรงไม่ทอดทิ้งประชาชนของพระองค์ ทำนุบำรุงบ้านเมือง ปกครองแผ่นดินและพสกนิกรของพระองค์โดยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่มหาชนชาวไทย
การบรรลุพระราชสัตยาธิษฐาน บังเกิดผลได้ด้วยพระราชจริยวัตรที่งดงามเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระปรีชาสามารถ ความรู้ความรักในแผ่นดินและประชาชน ยังกอปรด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งมั่นในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร ซึ่งนำมาสู่การบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอย่างหนักตามพระราชปณิธานจนเกิดผลเป็นรูปธรรม ยังผลให้พสกนิกรมีความจงรักภักดี เลื่อมใสศรัทธาอย่างไม่เสื่อมคลาย
หากกล่าวถึงส่วนของความยากลำบาก กว่าที่ประชาชนคนไทยจะมีความสุขได้เท่าทุกวันนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคบางเศษเสี้ยวซึ่งพระองค์ทรงต้องฝ่าฟัน อาจสามารถมองผ่านการพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนนิตยสาร “เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก” เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๕ ความตอนหนึ่งว่า...
“เมื่อข้าพเจ้าจะมารับหน้าที่นี้เมื่อสามสิบหกปีล่วงมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าอายุเพียงแค่สิบแปดปี ในเวลานั้นทุกอย่างดูทรุดโทรมไปหมด ในวันนั้นพรมเก้าอี้ก็ขาดเป็นรู พื้นแตกคร่ำคร่า วังทั้งวังเกือบจะพังลงมา เวลานั้นสงครามโลกเพิ่งสิ้นสุดลง ไม่มีใครสนใจกับอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้าต้องค่อยๆ ก่อสร้างทุกๆ อย่างขึ้นมาใหม่โดยไม่ใช้วิธีทุบทิ้ง ข้าพเจ้าต้องค่อยๆ ทำไปทีละเล็กทีละน้อย เป็นเวลาสามสิบหกปีเข้าไปแล้ว ดังนั้นเราอาจเรียกรัชกาลนี้ได้กระมังว่าเป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป ขนบธรรมเนียมเก่าแก่ถูกรักษาไว้ และเปลี่ยนแปรมาโดยลำดับ เราเรียนรู้และได้ประสบการณ์ว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมอาจนำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งเพื่อชีวิตในปัจจุบันและอนาคต...”
ตลอดรัชกาลแห่งการปฏิรูปนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขราษฎรทั่วทุกภูมิภาค ทั้งที่เป็นทางการและส่วนพระองค์ ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะเป็นชนบทห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก เป็นป่าเขา เป็นดินแดนแห้งแล้งทุรกันดาร บ้างบางพื้นที่เป็นแผ่นดินอันตรายในช่วงแห่งการสู้รบของคนไทยที่มีอุดมการณ์ต่างกัน
พระราชประสงค์ของพระองค์ในการทรงบากบั่น เสด็จพระราชดำเนินไปในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ก็ด้วยพระราชหฤทัยมุ่งมั่นบรรเทาทุกข์พสกนิกร ทรงต้องการเห็นสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง
ภาพที่คนไทยพบเห็นเสมอคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแผนที่กับดินสอในพระหัตถ์ พระศอคล้องด้วยกล้องถ่ายรูป และวิทยุสื่อสารในกระเป๋าฉลองพระองค์ ทรงทรุดพระวรกายประทับพื้นดินแวดล้อมด้วยชาวบ้าน มีพระราชปฏิสันถารถึงทุกข์สุขอย่างใกล้ชิดด้วยพระพักตร์แช่มชื่น แต่เปียกชุ่มไปด้วยพระเสโท
พระองค์จึงทรงทราบปัญหาความเป็นอยู่ของพสกนิกร การประกอบอาชีพ ปัญหาอุปสรรคในการดำรงชีพซึ่งแตกต่างไปตามท้องถิ่น ความเจ็บป่วย ความขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร การไร้ที่ดินทำกิน ปัญหาการเกษตรที่ได้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อการยังชีพ การขาดแคลนอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นอุปสรรค ทำให้ประชาชนขาดโอกาสในการพัฒนา อันเป็นสาเหตุหลักแห่งความยากจน
สิ่งเหล่านี้พระองค์ทรงนำมาประมวล ศึกษาไตร่ตรอง ค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ทดลองจนแน่พระทัยในผลที่ได้รับ ดังเห็นได้จากการวางแผนบริหารจัดการน้ำ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ ที่มีมากกว่า ๓,๐๐๐ โครงการ เป็นต้น เพื่อพระราชทานแนวทางแก้ไขให้เหมาะสมไปตามแต่ละพื้นที่เพื่อให้ประชาชนมีกินมีใช้ หลุดพ้นความยากจน เป็นการพัฒนาที่มุ่งไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ของประชาชน อันนำไปสู่เป้าหมายสำคัญ นั่นคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ขาดแคลน ไม่แร้นแค้น ประชาชนคนไทยทุกคนพออยู่พอกิน ดำรงอยู่ไปในทางสายกลาง สร้างภูมิคุ้มกัน ก้าวทันโลกสมัยใหม่ด้วยหัวใจที่มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ สุจริต พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วรุนแรง
ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงติดตามทอดพระเนตรโครงการต่างๆ ที่ได้พระราชทานไปแล้วอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้นไป
ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่ยังประโยชน์แก่ปวงชน ในลักษณะพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน อันส่งต่อความเจริญรุ่งเรืองและมั่นคงของประเทศชาติ สมดังพระราชปณิธาน พระราชสัตยาธิษฐานในพระปฐมบรมราชโองการ


