แคทลีน มาลีนนท์ ดาวรุ่งพลังงานทดแทน
แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) วัยกว่า 40 ปี
โดย...เจียรนัย อุตะมะ
แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) วัยกว่า 40 ปี ผู้ปลุกปั้นบริษัทนี้มาตั้งแต่ต้น จากบริษัทที่เกือบเจ๊งเมื่อ 6 ปีก่อน กลายเป็นธุรกิจพลังงานทดแทนดาวรุ่ง ที่ล่าสุดไตรมาส 2 ปีนี้ ไทย โซล่าร์ ทำกำไรเติบโตโดดเด่นอันดับ 2 ของธุรกิจพลังงานทดแทน ที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และมีสินทรัพย์เกือบหมื่นล้านบาท
TSE มีโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 11 แห่ง ตั้งอยู่ใน จ.กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี โรงงานแห่งแรกในกาญจนบุรีผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ด้วยเทคโนโลยี Solar Thermal แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเก็บกักพลังงานความร้อนไว้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ก็มีต้นทุนที่สูงมากหากเทียบกับผลผลิตไฟฟ้าที่ได้ ต้องใช้เวลานานกว่าจะคุ้มทุน ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Photovoltaic (PV) ซึ่งเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรงผ่านแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าได้วันละ 8 ชั่วโมง ทำให้มีต้นทุนที่ถูกกว่า
TSE จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบ PV ใน 10 โรงงานใหม่ ซึ่งได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) อัตราโรงละ 8 เมกะวัตต์ โดยมีมูลค่าการลงทุนราว 7,000 ล้านบาท คาดว่าจะสร้างรายได้กว่าพันล้านบาทต่อปี
เธอเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่ม “มาลีนนท์” ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท บีอีซี เวิลด์ (BEC) มาลีนนท์เป็นธุรกิจของครอบครัวใหญ่ แต่ธุรกิจของ บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ เป็นธุรกิจของครอบครัวย่อยที่ฉีกออกมา
“เราเกิดและเติบโตมาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจบันเทิง ที่รุ่นพ่อประชาลุยสร้างมา แต่ธุรกิจพลังงานทดแทนนี้ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่วันแรกได้ให้ความสำคัญในรายละเอียด ทำให้ทำงานด้วยความประทับใจและมุ่งมั่น”
ประชา มาลีนนท์ ทายาทคนที่ 3 ของวิชัย เคยมีบทบาทอย่างมากและเป็นที่คุ้นเคยกับพนักงาน ผู้จัดละคร และดาราของช่อง 3 เป็นคนมีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย กล้าตัดสินใจ และเป็นคนใจกว้าง โกรธง่ายหายเร็ว
นิสัยของประชาไม่ค่อยหยุดนิ่งชอบบุกเบิกลงทุนอะไรใหม่อยู่ตลอดเวลา การลงทุนธุรกิจใหม่ของช่อง 3 ส่วนใหญ่จะมาจากแนวความคิดของประชา เช่น ธุรกิจวิทยุ ภาพยนตร์ จัดคอนเสิร์ต ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ส่วนตัวของประชาก็เคยไปลงทุนทำร้านอาหาร เปิดค่ายเพลง มีบริษัททำอสังหาริมทรัพย์ ชื่อเมืองประชา ทำร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
ประชาปลีกตัวออกไปจากช่อง 3 หันไปสนใจการเมือง
ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ประชาแต่งงานเร็วที่สุด ภรรยาเป็นชาวต่างประเทศ มีลูกสาว 2 คน แคทลีนเป็นลูกสาวคนโตของประชาที่หลังจบปริญญาเอก ด้านบริหารองค์กร จากมหาวิทยาลัยเปปเปอไดน์ ลอสแองเจลิส สหรัฐ แคทลีนเข้ามาเป็นผู้ช่วยกรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีอีซี เวิลด์ และผู้ช่วยกรรมการรองผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ตามลำดับ โดยหน้าที่ความรับผิดชอบ ดูด้านนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ เธอเล่าว่า ช่วงเริ่มงานครั้งแรกหน้าที่ไม่ได้ลุยงานเต็มที่ เพราะส่วนใหญ่เป็นการให้ข้อมูลนักลงทุน
“สำหรับไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ เรียกได้เต็มปากว่าทำเอง ลุยเอง ตอบเองได้หมด ทุนประเดิมเริ่มแรกในการเริ่มต้นกิจการเริ่มจากคุณพ่อ แต่ปัจจุบันเป็นของครอบครัวตัวเองทั้งหมดแล้ว โดยถือหุ้น 42% ของทุนจดทะเบียน 1,815 ล้านบาท มีสินทรัพย์เกือบหมื่นล้านบาท และกิจการมีกำไร พนักงานเริ่มต้น 40 คน เป็น 120 คน”
แคทลีนเลือกเข้ามาจับธุรกิจพลังงานหมุนเวียนด้วยเหตุบังเอิญ แต่มีความตั้งใจเข้ามาดูแลแบบเต็มตัว จุดเริ่มต้นเกิดจากพ่อ และทีมผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ได้รับใบอนุญาตให้ทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จึงเริ่มดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2553 โดยได้เงินกู้จากธนาคาร 1,000 ล้านบาท เพื่อลงทุน ทั้งที่เธอไม่มีความรู้ด้านพลังงานเลย แต่มองเห็นโอกาสธุรกิจว่าเป็นที่ต้องการของตลาดสูง ในขณะที่กำลังการผลิตในไทยยังไม่เพียงพอกับการใช้งานของคนทั้งประเทศ ซึ่งบริษัทมีโรงงานไฟฟ้าทั้งหมด 5 โรง และที่สำเร็จได้มาจนทุกวันนี้เกิดจากการมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถ มีวิศวกร และพนักงานการเงินที่ดี
ช่วงแรกที่ศึกษาตัดสินใจใช้เทคโนโลยีโซลาร์เทอร์มอล คือการใช้จานแบบแผ่นโค้งในการรับแสงอาทิตย์ จากนั้นอุ่นน้ำเป็นไอน้ำแล้วนำไปเป็นพลังงานผลิตกระแสไฟฟ้า จากนั้นในปลายปี 2553 ระหว่างการทำแผนงานและก่อสร้างต้องการหาผู้ร่วมทุน ด้วยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) ที่ได้จำนวน 8 เมกะวัตต์ ได้ตัดสินใจก่อสร้างส่วนแรกที่ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ขนาด 5 เมกะวัตต์
ขณะนั้นแคทลีนนั่งเก้าอี้กรรมการบริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) ซึ่งเข้ามาศึกษาและสรุปเข้าลงทุนถือหุ้นใน TSE สัดส่วน 25% มีกลุ่มมาลีนนท์เป็นผู้ถือหุ้น 56% และเป็นช่วงที่ TSE เริ่มขยายโครงการใหม่ จึงตัดสินใจเข้ามาดูแลธุรกิจนี้เต็มตัวในเดือน พ.ค. 2554
เมื่อเข้ามาแล้ว เธอเริ่มคิดว่าจะทำให้บริษัทมั่นคงได้อย่างไร ทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้ ลงทุนใหม่ให้บริษัทรอด
“เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็มีโอกาส ช่วงนั้นธุรกิจพลังงานทดแทนเป็นขาขึ้น ช่วงปี 2553-2556 ก่อนเข้าจดทะเบียนมีคู่แข่งน้อย เมื่อเข้ามาแล้วคู่แข่งเริ่มมีมากขึ้น แต่ช่วงนี้เชื่อว่าเหลือแต่ผู้ประกอบการตัวจริงแล้ว”
ระยะแรกที่แคทลีนเข้ามาบริหาร เป็นช่วงที่โรงไฟฟ้าก่อสร้างใกล้แล้วฅสร็จ แต่มีปัญหามากเพราะเทคโนโลยีที่นำมาใช้เป็นของใหม่ และเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของประเทศ กระทบต่อการเปิดทดสอบโครงการทั้งหมดให้ล่าช้า จนกระทั่งวันที่ 26 ธ.ค. 2554 เริ่มผลิตจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ
อย่างไรก็ดี หลังใช้เทคโนโลยีโซลาร์เทอร์มอลมา 2 ปี พบว่าประสบปัญหาด้านภูมิอากาศของไทยมีเมฆบังเครื่องรับแสง ทำให้เครื่องผลิตไอน้ำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น จึงนำเทคโนโลยีไฮบริดเข้าเสริม ทั้งไบโอแมสและไบโอแก๊ส เพื่อเข้ามาใช้เป็นพลังงานพื้นฐาน
เมื่อเทคโนโลยีเดิมไม่เหมาะที่จะ ใช้ในไทย จึงหันมาใช้ PV ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้เทคโนโลยีนี้พัฒนาโครงการใหม่ที่มีสัญญาขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าอีก 10 โรง ขนาดแห่งละ 8 เมกะวัตต์ ขนาดรวม 80 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ได้ราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเพิ่มที่ 6.50 บาท ซึ่งกำหนดไว้ในสัญญาว่าจะต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบหลังได้สัญญา 1 ปี จึงได้พันธมิตรคือ บริษัท ปตท. (PTT) เข้าร่วมลงทุนถือหุ้น 40%
เดือน ต.ค. 2557 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ทำให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 100 เมกะวัตต์ สิ้นปี 2558 และ 156 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน
“เราจะเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็ได้ในเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ตอนนั้นโครงการยังไม่จ่ายไฟ กำไรยังไม่มี แต่อยากได้โครงการเข้ามาเยอะๆ เพราะถ้ามีเมกะวัตต์มาก แล้วขยับเข้า SET จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ อยากให้โตมากกว่านี้แล้วค่อยเข้าไป อย่างน้อยก็โตมากกว่านี้เท่าตัว จากปัจจุบัน 150 เมกะวัตต์ ไม่รวมโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เพิ่งเข้าไปซื้อกิจการ”
ล่าสุด บริษัทได้ตัดสินใจเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โรง กำลังการผลิตรวม 22.2 เมกะวัตต์ โดยใช้เงินลงทุนรวม 1,918.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันนี้โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซจะมีต้นทุนถูกลงตามราคาน้ำมัน ที่ลดลง แต่เธอมองว่าโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนยังมีความสำคัญ และในระยะ 5-10 ปี การผลิตเพื่อใช้เองคุ้มค่าอย่างแน่นอน
“ช่วงที่ราคาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง เพราะสามารถแทนโรงงานไฟฟ้าพลังงานจากก๊าซธรรมชาติได้ และลดต้นทุนในช่วงใช้ไฟฟ้าจากก๊าซสูงสุดทำให้ระบบไม่เสียอย่างในฟิลิปปินส์โรงงานอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าราคาแพง ช่วงใช้ไฟสูงสุดไฟไม่พอใช้ ไฟดับ หากมีโซลาร์เซลล์สามารถควบคุมความต้องการใช้ไฟได้ และคุมต้นทุนได้ ในระยะกลางแล้ว โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนสำคัญอย่างในจีน ที่ปักกิ่งมลพิษเยอะ เพราะใช้ไฟฟ้าจากก๊าซ ทำให้รัฐบาลจีนหันมามีนโยบายใช้พลังงานทดแทนเพื่อแก้ปัญหา”
นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนใน mai บริษัทมีกำไรตั้งแต่ปีแรก 581 ล้านบาท ปี 2558 กำไร 527 ล้านบาท และครึ่งแรกปีนี้ 290 ล้านบาท


