"ภาษีเน็ตไอดอล"...ราคาที่ต้องจ่ายของคนดังโลกโซเชียล
เมื่อแอดมินเพจดัง-เน็ตไอดอลทั้งหลายกำลังจะถูกเรียกเก็บภาษี
โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด
ในวันที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง อินเตอร์เน็ตกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ทั้งยังนับเป็นบันไดต่อยอดสู่การเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโลกเสมือน เพื่อสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการ
เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงการคลังประกาศว่า จะเดินหน้าจัดการเก็บภาษีธุรกิจออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างพรวดพราด โดยพุ่งเป้าไปยังบรรดาแอดมินเพจชื่อดังและเน็ตไอดอลที่มียอดผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ซึ่งมักได้รับการติดต่อจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ในการโฆษณาสินค้า
หรือว่าเม็ดเงินมหาศาลของเน็ตไอดอลกำลังสั่นสะเทือน...
ตั้งทีมเฉพาะกิจจับตาเน็ตไอดอล
ข้อมูลจากสมาคมโฆษณาดิจิทัล ประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันไทยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั้งสิ้น 38 ล้านคน หรือคิดเป็น 56% ของจำนวนประชากรทั้งหมด มีผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สูงถึง 41 ล้านคน เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่นิยมสูงสุดสามอันดับแรก ได้แก่ เฟซบุ๊ก 92.1% ไลน์ 85.1% และกูเกิล 67%
สำหรับเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ Nielsen บริษัทวิจัยการตลาด ระบุว่า เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ เติบโตอยู่ที่ 849 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 72.56 % ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของ PwC ที่คาดการณ์ในปี 2563 มูลค่าการใช้จ่ายผ่านโฆษณาออนไลน์จะอยู่ที่ 3,100 ล้านบาท เติบโต 117% จากคาดการณ์ปี 2559 ที่ 1,400 ล้านบาท
ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร อธิบายว่า ภาษีสำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าในประเทศ และธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ
“ธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าในประเทศ การเก็บภาษีธุรกิจอีคอมเมิร์สนั้นมีมานานแล้วในประเทศไทย บริษัทใหญ่ๆไม่มีปัญหาในการจัดการเรื่องนี้ ปัญหาคือวันที่ทุกคนสามารถขายสินค้าได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมีหน้าร้าน พ่อค้าแม่ค้าเต็มโลกออนไลน์ ทำให้ยากต่อการติดตาม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันกรมสรรพากรได้ตั้งทีมงานติดตามบุคคล เพจ หรือร้านค้าในโลกออนไลน์แล้ว โดยเฉพาะบุคคลหรือร้านค้าที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และพบการค้าขาย รีวิวโฆษณา ที่สะท้อนให้เห็นว่า มีรายได้จำนวนมาก ทีมงานจะทำหนังสือแจ้งเตือนให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี”
ส่วนธุรกิจที่มีการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การซื้อขายสินค้ากับเว็บไซด์ต่างประเทศ หรือบุคคลที่ได้รับเงินว่าจ้างจากธุรกิจในต่างประเทศ กฎหมายบ้านเรายังไปไม่ถึง นอกเหนืออำนาจ อยู่ระหว่างพัฒนา ปรับปรุง และเตรียมออกกฎหมายต่อไป เพื่อให้คลอบคลุมถึงการซื้อขายระหว่างประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้”
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า โดยปกติเน็ตไอดอลที่คนติดตามจำนวนมากในโลกออนไลน์ มีรายได้จาก 3 แหล่ง คือ รายได้จากการเขียน ได้แก่ การรีวิว โฆษณาสินค้า รายได้จากการขาย เช่น ครีม อาหารเสริม วิตามิน และรายได้จากการโชว์ตัว ออกอีเวนท์
“รายได้เท่าไหร่ ขึ้นกับความนิยมที่พวกเขาได้รับ ฐานคนติดตาม และรูปแบบการนำเสนอสำหรับบริษัทผู้ว่าจ้าง ก่อนจ่ายเงินให้กับพวกเขาต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย นำเงินส่งเข้าสรรพากร ซึ่งเท่ากับว่ เกิดร่องรอยเส้นทางการเงินในระบบ และทำให้รู้ว่าใครเป็นผู้จ่าย ผู้รับ ตรวจสอบเส้นทางการเงินและติดตามได้ ตัวอย่างเช่น แอพพลิเคชั่น ไอโชว์ (iShow) ที่ว่าจ้างนางแบบมาโชว์ตัวและร่วมสนทนากับผู้ชม พวกเขาก็จัดการหัก ภาษี ณ ที่จ่าย ก่อนเช่นกัน
ส่วนบริษัทเล็กๆ ที่ว่าจ้างด้วยเงินสดหรือโอนเงินเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้นมีจริง แต่พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ส่งผลดี ขัดขวางการเติบโตของผู้ค้าเอง เสียระบบจัดการ หากคณะทีมงานพิเศษของกรมสรรพากร ติดตามเจอในภายหลัง ก็จะส่งใบแจ้งเตือนไปแน่นอน ก่อนมีมาตรการทางกฎหมายต่อไป”
ทั้งนี้ เน็ตไอดอลมีชื่อเสียงโด่งดัง มีการติดตามจำนวนมาก และมีรายได้ต่อปี มากกว่า 1.8 ล้านบาท ล้วนมีหน้าที่ต้องทำความเข้าใจ และจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ปัจจุบันพวกเขากำลังถูกจับตาจากกรมสรรพากร สิ่งต่างๆ ที่โพสต์ ขายสินค้าหรือโฆษณาบริการนั้น นับเป็นหลักฐานผูกมัดการมีรายได้ของตัวเอง
รับงานบริษัทใหญ่ปลอดภัยไร้กังวล
ชา-อนุชา แสงชาติ ผู้ก่อตั้งเพจสุดฮอตอย่าง "Lowcostcosplay" เผยว่า การสร้างรายได้จากโฆษณาและสินค้าออนไลน์นั้น มีผู้ว่าจ้างหลากหลายรูปแบบ หากเป็นแบรนด์ใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก ขั้นตอนการจ้างจนกระทั่งรับเงิน เป็นไปตามระเบียบกฎหมายอยู่แล้ว
“ผู้มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์มีหลายแขนง บางคนถูกมองเป็นเน็ตไอดอล บางคนเป็นศิลปิน บางคนเป็น 'อินฟลูเอนเซอร์' หรือผู้มีอำนาจในโลกออนไลน์ สินค้าที่ติดต่อเข้ามาพวกโฆษณาแฝงหรือการไทอิน (tie-in) ก็แตกต่างกันไป แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนตัวได้รับการติดต่อจากเอเจนซี่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกอยู่แล้ว การรับงานก็เป็นไปอย่างสบายใจทำข้อตกลงที่มีระบบ ถูกต้องตามกฎหมาย หัก ภาษี ณ ที่จ่ายชัดเจน ผมไม่มีปัญหา ถึงเวลาก็ไปยื่นแบบเสียภาษีอีกครั้ง ปัญหามักเกิดขึ้นกับแบรนด์เล็กๆ ที่พึ่งเกิดใหม่ ที่ทำการว่าจ้างเน็ตไอดอล โดยมีวิธีการจ่ายค่าจ้างด้วยเงินสด ทำให้หลุดรอดจากการเสียภาษี”
ในฐานะผู้หารายได้จากโลกออนไลน์ อนุชาแนะว่า นอกจากไล่เก็บภาษี กรมสรรพากรควรพัฒนาระบบการเก็บข้อมูลให้เกิดความสะดวกมากขึ้นกว่าปัจจุบันที่เห็นว่ายังมีความยุ่งยากซับซ้อนอยู่ เพื่อเอื้อให้ผู้มีรายได้จ่ายภาษี อย่างเอกสารที่ได้รับจากค่าจ้างหลังการหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่ต้องเก็บไว้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีกครั้ง
“เราเสียภาษีในระบบไปแล้วครั้งหนึ่ง สรรพากรมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ถึงเวลาไม่น่าจะต้องถือเอกสารไปยื่นแสดงอีกรอบ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบของรัฐบาลที่ต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ”
ไม่จ่ายเพราะเห็นว่าไม่คุ้ม
เรตค่าจ้างของเน็ตไอดอลในการรีวิวสินค้าไม่มีราคาที่ชัดเจนเป็นมาตรฐาน เรียกว่ายิ่งดังยิ่งเเพง
โดยทั่วไปการโฆษณาเเบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ประกอบด้วย 1.โพสต์สินค้าอย่างเดียว 2.ถือสินค้าโพสต์ภาพ เเละ 3.คลิปวิดีโอ ผลสำรวจที่ผ่านมาหลายเเห่งระบุตรงกันว่า หากมีผู้ติดตามเกิน 1 เเสนคน จะได้ค่าโพสต์ครั้งละ 35,000 บาท หากผู้ติดตาม 2 แสนขึ้นไป 45,000 บาท และหากถึง 5 แสนคน เงินค่าโพสต์จะทะลุไปถึง 50,000 บาททีเดียว
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามไปยัง ผู้จัดการเน็ตไอดอลรายหนึ่ง พบว่า เรตราคาในปัจจุบันนั้นลดลงกว่าในอดีต เนื่องจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาสู่วงการเพิ่มมากขึ้นทุกวัน หากมียอดติดตามไม่เกิน 5 แสน และไม่ได้มีบุคคลิกลักษณะเฉพาะอย่างแท้จริงกับตัวสินค้า ค่าจ้างต่อหนึ่งโพสต์อยู่ในระดับหลักพันเท่านั้น ต้องมีระดับการติดตามหลักล้านขึ้นไป หรือโด่งดังจริงๆ ค่าตัวจึงจะพุ่งไปสู่ระดับหลักหมื่น
“เรตเดิมที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ คนติดตาม 5 แสน ค่าจ้าง 5 หมื่น ยืนยันว่าสมัยนี้ไม่มีแน่นอน เพราะหน้าใหม่ หน้าเก่าเยอะมาก ผู้จ้างมีตัวเลือกมากขึ้น พวกที่ยอดฟอลโล่ตั้งแต่ 1-3 แสน จ้างไม่เกิน 3 พันบาทต่อโพสต์ด้วยซ้ำ เพราะระดับนี้เกลื่อนทั่วโลกออนไลน์ ที่สำคัญค่าจ้างไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตาม แต่อยู่ที่ตัวเน็ตไอดอลเองด้วย หากเป็นพวกที่ก้าวไปสู่ระดับวงการบันเทิงบ้างแล้ว ค่าจ้างก็จะมากขึ้น”
ผู้จัดการเน็ตไอดอลรายนี้ว่า ทุกวันนี้การสร้างชื่อในโลกโซเชียลทำได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างทำคลิปวิดีโอลักษณะเซ็กซี่ 1 ตัว วันถัดมาก็มียอดติดตามพุ่งจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ตัดราคาเพื่อแข่งขันกันเองในผู้เล่นหน้าใหม่
“สินค้าแบรนด์เล็กๆผลิตใหม่ จ่ายกันเป็นเงินสดหรือโอนให้กันอยู่แล้ว ดีลระหว่างสองคน เอ้า ถือโปรดักให้หน่อย คิดราคาเท่าไหร่ว่ากันไป ไม่ถึงขั้นเซ็นสัญญาจริงจัง ผู้จ้างก็เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจเงินไม่ค่อยมีเงิน ส่วนใหญ่เลือกจ้างเน็ตไอดอลหลายๆคน คนละ 2-3 พัน 10 คน รวมกัน 3 หมื่นบาท แลกกับผู้ติดตาม 1 ล้านกว่าคน”
สำหรับประเด็นการตรวจสอบภาษี ผู้คลุกคลีในวงการเน็ตไอดอล ระบุ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเหล่าเน็ตไอดอลหน้าใหม่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้ราคาที่แน่ชัด บางรายอ้างว่าทำฟรี ขณะที่บางคนภาพที่แสดงออกมานั้นดูเหมือนว่าได้เงินสูงมาก แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่อย่างที่คิด
แนตตี้ (นามสมมติ) เน็ตไอดอลสาวสวยเซ็กซี่ที่มีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคนบนเฟซบุ๊ก บอกว่า ได้รับค่าตัวจากการโพสต์ภาพคู่สินค้า 1.5 หมื่นบาท หากเป็นคลิปวิดีโอ 2 หมื่นบาท เจ้าของสินค้าจะเลือกว่าจ้างผู้ที่มีบุคคลิกลักษณะเข้ากับผลิตภัณฑ์ แน่นอนว่า สินค้าส่วนใหญ่ที่ตนเองและเพื่อนได้รับเป็นพวก อาหารเสริมและครีมบำรุงผิว
“สินค้าพวกนี้ราคามันก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ รวมถึงการเจรจาด้วย ยอมรับว่าที่ผ่านมา ก็มีการให้ค่าจ้างเป็นเงินสด”
สาวสวยรายนี้ กล่าวว่าสาเหตุที่หลายคนไม่อยากจ่ายภาษี คือ ไม่คิดว่าได้รับความคุ้มครองในโลกออนไลน์ กลุ่มเน็ตไอดอลที่มีผู้ติดตามจำนวนมากมักถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก ปลอมแปลง แอบอ้าง นำภาพไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตบ่อยครั้ง ภาษีที่เสียไปควรจะช่วยคุ้มครองและแก้ปัญหาเรื่องแบบนี้ได้บ้าง
“จ่ายไปแล้วรู้สึกไม่คุ้มค่า เขาก็ไม่เต็มใจที่จะจ่าย เคยเดินทางไปแจ้งความ หลังจากถูกคนร้ายแฮ็กเฟซบุ๊กและนำภาพไปหาประโยชน์ แต่สุดท้ายก็ไม่มีความคืบหน้า ภาษีที่ทุกคนเสียไป เข้าใจว่า เพื่อเอาไปพัฒนาประเทศ ถนน เสาไฟฟ้า สะพาน ท่อประปา รวมถึงสวัสดิการ แต่ในโลกออนไลน์ก็ควรจะได้รับการคุ้มครองที่มากกว่าเดิมเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม บทลงโทษของการไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯภายเวลาที่กำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 2,000บาท ขณะที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี แต่ไม่ไปเสียภาษีมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน และต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนจนกว่าจะเสียภาษี ส่วนกรณีที่ไม่ได้ยื่นแบบฯไว้หรือยื่นแล้ว แต่ชำระภาษีขาดไป หากถูกพนักงานตรวจสอบและออกหมายเรียก นอกจากจะต้องเสียเงินเพิ่มแล้ว ยังเสียเบี้ยปรับอีก 1 เท่า หรือ 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระอีก แต่เบี้ยปรับอาจลด หรือไม่เก็บก็ได้ตามระเบียบ ทั้งนี้กรณีจงใจแจ้งข้อความเท็จ แสดงหลักฐานเท็จหรือฉ้อโกง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่สองพัน ถึงสองแสนบาท
คำกล่าวคลาสสิกที่ว่า สิ่งแน่นอนสองอย่างในชีวิตที่เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้คือความตายและการเสียภาษี ประโยคนี้น่าจะทำให้เหล่าบรรดาเน็ตไอดอลทั้งหลายตื่นตัวมากขึ้นไม่มากก็น้อย


