posttoday

แก้รถติดด้วยทัศนคติใหม่ "รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน"

04 ตุลาคม 2559

แนวคิดแก้ไขปัญหาจราจร ผ่านมุมมองของ "ยรรยง บุญหลง" สถาปนิกชื่อดัง

โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด

กรุงเทพมหานครเผชิญกับปัญหารถติดมาอย่างยาวนาน โดย ทอมทอม (TomTom) ผู้ผลิตระบบนำทางจีพีเอสชั้นนำของโลก จัดอันดับให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุดของโลก โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนหลังเลิกงาน ซึ่งใช้เวลาเดินทางกลับบ้านนานถึงสองเท่าจากปกติ แม้หน่วยงานภาครัฐจะพยายามเร่งแก้ไขปัญหา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่ใช่ทางออกระยะยาวอย่างแท้จริง 

ด้วยประสบการณ์ด้านการออกแบบพัฒนาที่อยู่อาศัยและพื้นที่เมืองเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชากร ยรรยง บุญหลง สถาปนิกชุมชน มองว่า ถึงเวลาที่รัฐต้องลงทุนและให้ความสำคัญกับระบบขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะ “รถเมล์” อย่างแท้จริงเสียที 

แก้ทัศนคติ 'รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน' 

ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ขนาดของรถเมล์ในเมืองไทยต้องมีความกว้างไม่เกิน 2.55 เมตร ยาวไม่เกิน 15 เมตร เเละสูงไม่เกิน 4 เมตร แน่นอนว่าขนาดของรถเมล์นั้นสามารถจุคนได้มากกว่ารถยนต์ส่วนตัว

ยรรยง กล่าวว่า ก่อนจะแก้ไขปัญหา 'รถติด' ต้องหันไปแก้ ‘คนติด’ ก่อน เริ่มจากเข้าใจสิทธิ์ของคน ว่า คนหนึ่งคนมีสิทธิ์บนพื้นที่ถนนเท่าไร

“สมมติว่าคนหนึ่งคนมีสิทธิ์ขั้นต่ำเท่ากับรถยนต์ 1 คันบนถนน จะพบว่ารถเมล์ซึ่งสามารถจุคนได้ 72 คนในช่วงเร่งด่วน จะมีสิทธิ์เท่ากับขบวนรถ 72 คันต่อๆกัน เพราะในช่วงเร่งด่วนคนขับเฉลี่ย 1 คนต่อ 1 คัน เพราะแม้แต่แฟนกันก็แยกกันขับ

ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวคิดเช่นนี้แล้วคือ การมีเลนด่วนสำหรับรถเมล์บีอาร์ที แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งยังมีการละเมิดสิทธิ์ด้วยการนำรถส่วนตัวไปวิ่งในเลนรถเมล์

“การนำรถส่วนตัวไปวิ่งในเลนรถเมล์ เป็นการละเมิดสิทธิ์คนนั่งรถเมล์ เพราะพวกเขามีสิทธิ์เท่ากับขบวนรถ 72 คันต่อๆกัน แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นก็ตาม รถส่วนตัวเข้ามาในเลนรถเมล์เท่ากับทำให้สิทธิ์ของมนุษย์ที่นั่งรถเมล์ลดต่ำลง อเมริกาเคยตั้งค่าให้ทาสมีสิทธิ์เท่ากับ 3/5 ของมนุษย์  แต่บ้านเรา ถ้าให้รถส่วนตัวเข้ามาจนเต็มเลนรถเมล์ เรากำลังทำให้คนนั่งรถเมล์มีสิทธิ์เหลือเพียง 1/72 ของพลเมือง” 

แก้รถติดด้วยทัศนคติใหม่ "รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน" ภาพ: พื้นที่ถนนที่เอาไว้รองรับคนจำนวน 72 คน โดยใช้ 1. จักรยาน 2. รถยนต์ 3 รถเมล์ Photo Credit: City of Münster’s planning department, 1991

พัฒนาให้รถเมล์หรูและเชื่อมต่อกว่าที่เป็น 

บทบาทของรถเมล์เเละระบบขนส่งสาธารณะของเมืองไทย ทราบกันดีว่า ปัจจุบันอยู่ในขั้นเลวร้าย สภาพตัวรถหลายคันมีปัญหา คนขับหลายรายไร้วินัย เวลาในการให้บริการ เข้าป้ายจนถึงจุดหมายยังไม่แน่นอนด้วย 

ยรรยง กล่าวว่า รถเมล์ถือเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพจราจร หากรัฐบาลไทยกล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลง เฉกเช่นนักปฎิวัติในละตินอเมริกาที่เลือกกำหนดให้มวลชนเป็นที่ตั้ง มองรถเมล์มีสิทธิ์เหนือรถยนต์ส่วนตัวบนพื้นที่ถนนอันจำกัด โดยสร้างเลนด่วนที่ไม่ติดขัดให้ ยกตัวอย่างเช่นเมืองซานฟรานซิสโก คนขับรถเมล์มีกล้องที่สามารถแจ้งจับรถที่อยู่ใน "เลนรถเมล์" ได้ด้วย  ขณะที่เมืองไทย ความล้มเหลวของรถเมล์บีอาร์ที เกิดจากโครงข่ายที่มีการเชื่อมต่อน้อยเกินไป เปรียบเสมือนมีโครงข่ายโทรศัพท์อยู่แค่ 2 เครื่องแล้วบ่นว่าโทรศัพท์หาใครไม่ได้เลย 

สิ่งสำคัญต่อมานอกจากสิทธิของรถเมล์ที่ต้องถูกมองแตกต่างไปจากเดิม รัฐควรลงทุนกับ ความสามารถและประสิทธิภาพของตัวรถเมล์เองด้วย เพื่อตอบสนองผู้ใช้งานทุกระดับตั้งแต่ล่างยันบน

“ซื้อรถเมล์หรูให้ประชาชนไม่เป็นไรหรอกครับ ตราบใดที่มี ‘เลนด่วน’ และไม่ติด นักธุรกิจสามารถนั่งไปประชุมและเชื่อมต่อกับระบบที่ ‘ไม่ติด’ อื่นๆ ได้อย่างเป็นระบบ เช่น เรือในคลอง ซึ่งต้องหรูกว่านี้ และระบบรถไฟฟ้า ถ้าเอามวลชนเป็นตัวตั้ง เราจะพบว่าจำนวน ‘คน’ ที่ไม่ติดจะมีมากขึ้นอย่างมหาศาล ทำยังไงให้ คนไม่ติด สำคัญกว่า ทำยังไงให้ ‘รถ’ ไม่ติด"

อย่างไรก็ตามหากมองปริมาณรถยนต์และพื้นที่ถนนในกรุงเทพฯ สถาปนิกรายนี้เห็นว่า การหลุดพ้นจากภาวะรถติดนั้นทำได้ยาก เนื่องจากกรุงเทพฯ มีถนนเพียง 8 % ของเนื้อที่ในเมือง ขณะที่ทางสหประชาชาติมองว่าเมืองที่ดีนั้นควรมีถนนอย่างน้อย 30%-40%

แก้รถติดด้วยทัศนคติใหม่ "รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน" เมืองซานฟรานซิสโก คนขับรถเมล์มีกล้องที่สามารถแจ้งจับรถที่อยู่ใน "เลนรถเมล์" ได้

 

แก้รถติดด้วยทัศนคติใหม่ "รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน"

เวลาคือสิ่งที่จะได้รับจากการพัฒนารถเมล์

การศึกษาของศูนย์การออกแบบและพัฒนาผังเมือง (UddC) เมื่อปี พ.ศ.2558  สะท้อนว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่พึ่งพารถยนต์อย่างเต็มรูปเเบบ โดยพบว่า ในระยะเวลา 1 ปี คนกรุงเทพฯ หลายราย ใช้เวลาอยู่บนรถยนต์ถึง 800 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 1 เดือนกับอีก 3 วัน

ยรรยง ชี้ว่า หากปรับเปลี่ยนทัศนคติในการมอง และลงทุนกับระบบสาธารณะอย่างเป็นระบบ ประชากรจะได้ “เวลา” ที่สูญเสียไปบนท้องถนนกลับคืนมา ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล

“หากลงทุนกับระบบสาธารณะ เราจะได้เวลากลับมาเกือบครึ่งวันทำงาน นักธุรกิจสามารถวางแผนได้ว่าวันนี้จะไปประชุมกี่แห่ง นักลงทุนต่างชาติวางแผนได้ว่าควรมาตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ หรือไม่ 

เรื่องนี้ในอดีตมีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว นักปฏิวัติอย่าง “เช กูวารา” หลังปฏิวัติสำเร็จในคิวบา ก็เน้นเรื่องสิทธิ์ของพลเมืองกับรถเมล์  เคยปล่อยให้ภรรยานั่งรถเมล์พาลูกที่กำลังป่วยหนักไปโรงพยาบาล โดยไม่ให้ใช้รถส่วนตัวของรัฐ  เพื่อนหลายคนวิ่งเข้ามาถามว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น เขาตอบกลับว่าภรรยาและลูกเขามีสิทธิ์เท่ากับพลเมืองอื่น ระบบรถเมล์ก็สะดวกดีอยู่ ไม่ติด ถึงโรงพยาบาลได้โดยไม่เสียเวลา 

แนวคิดเช่นนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่เชในคิวบา หลังจากเขาถูกฆ่าโดยซีไอเอแล้ว กลุ่มประเทศในลาตินอเมริกา อีกหลายประเทศก็เอาแนวคิดเรื่องรถเมล์ และสิทธิ์พลเมืองไปใช้ทำระบบ BRT อย่างในเมือง Bogota ประเทศโคลอมเบีย  เมือง Curitiba ประเทศบราซิล แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็เริ่มใช้ระบบนี้กันอย่างกว้างขวางแล้ว”

ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองจากสถาปนิกชื่อดัง ยรรยง บุญหลง ที่เห็นว่าระบบขนส่งสาธารณะอันยอดเยี่ยมจะกลายเป็นทางออกที่แท้จริงสำหรับการเดินทางในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร

ประโยคคลาสสิคเกี่ยวกับรถเมล์ที่น่าสนใจจากปาก “เอนริเก เปญาโลซา” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองโบโกตา กล่าวไว้ว่า “เมืองที่พัฒนาแล้วไม่ใช่เมืองที่คนจนทุกคนหันมาใช้รถ แต่เป็นเมืองที่คนรวยทุกคนหันมาใช้ขนส่งมวลชน”

แก้รถติดด้วยทัศนคติใหม่ "รถเมล์ 1 คัน=รถยนต์ 72 คัน" ยรรยง บุญหลง ภาพจาก Patrix Meesaiyaat

 

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว Gemini 3 Flash โมเดล AI ราคาประหยัดแต่ฉลาดเกือบเท่าเดิม