ดุลพินิจคือความเป็นธรรม
....สมผล ตระกูลรุ่ง
ความเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้ โดยยอมที่จะสูญเสียเงินทองหรือแม้แต่เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพียงเพื่อให้ได้ความเป็นธรรมตามที่ตนเองปรารถนา
คนที่ใช้ชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เป็นคนที่น่าเห็นใจ น่าชื่นชม แต่คนบางคนใช้ชีวิตของคนอื่น เป็นเครื่องสังเวยเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมตามตัวเองต้องการ คนอย่างนี้ เป็นคนจิตใจต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ เป็นพวกมนุสสเดรัจฉาโน
ความเป็นธรรม เป็นรูปธรรมที่ไม่สามารถใช้เครื่องชั่งตวงวัดใดเป็นมาตรฐานกำหนด ความเป็นธรรมของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน ความเป็นธรรมของโจทก์คือการชนะคดี ความเป็นธรรมของจำเลยคือการยกฟ้อง
คนบางคนเห็นว่าการหลีกเลี่ยงภาษีได้คือความเป็นธรรม ขณะที่อีกหลายคนเห็นว่าคนเลี่ยงภาษี คือคนขาดจริยธรรม โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ
ฉะนั้น ถ้าถามถึงความเป็นธรรมจากต่างคนในเรื่องเดียวกัน คำตอบย่อมจะไม่เหมือนกัน ในทางกฎหมายจึงต้องบัญญัติศัพท์คำว่า วิญญูชน เพื่อเป็นมาตรฐานกลางสำหรับใช้วัดคนทั่วไป
แต่อย่าเสียเวลาไปตามหาเพื่อถามความเห็นจาก คุณวิญญูชน นะครับ เพราะไม่มีใครหาเจอ เวลาศาลใช้มาตรฐานของคุณวิญญูชน ท่านใช้ความรู้สึกว่าคนทั่วไปน่าจะมีความคิดเห็นอย่างไร
และการใช้ความรู้สึกเช่นว่านั้นคือการใช้ดุลพินิจนักกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ร่างกฎหมายหลายท่านหวาดกลัวกับคำว่า ดุลพินิจ เพราะดูเหมือนจะเป็นการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต
กฎหมายสมัยก่อนค่อนข้างเปิดกว้างให้ศาลใช้ดุลพินิจได้มาก เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 การลักทรัพย์ในเหตุฉกรรจ์ เช่น ลักทรัพย์ในบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้โทษหนักกว่าการลักทรัพย์ทั่วไป และกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ด้วย แต่ก็ให้ศาลใช้ดุลพินิจได้ว่า
“ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรานี้ เป็นการกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาเล็กน้อย ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ก็ได้” คือจะลงโทษเท่าใดก็ได้ ไม่ถูกบังคับโดยโทษขั้นต่ำได้แต่การใช้ดุลพินิจ ถ้าใช้แบบศรีธนญชัย หรือใช้ไปในทางไม่สุจริต ก็จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับคนบางคน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้ ดังเช่นคดีที่ศาลจังหวัดสมุทรสงครามมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินทางกลับจากหัวหินมาตามถนนพระราม 2 ในเย็นวันอาทิตย์ ท่านอยู่เลนขวา เพราะเลนซ้ายรถเต็ม ขับมาดีๆ ก็มีท่านผู้มีบารมีขับรถเก๋งป้ายแดงขนาดใหญ่ขับไล่จะแซงให้ได้ แต่ท่านไม่มีที่หลบ แต่ท่านผู้มีบารมีสามารถแซงรถได้ แต่แทนที่แซงแล้วจะรีบไป ผู้มีบารมีกลับปาดหน้าให้จอดรถ แล้วถือปืนเดินเข้ามาหา พูดจาใหญ่โต
ผู้ใหญ่ท่านนี้ท่านไม่อยากมีเรื่อง ไม่ถูกยิงก็ดีแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะรีบกลับบ้านดีกว่า แต่มีพลเมืองดีที่ขับรถตามมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เป็นผู้แจ้งตำรวจให้จับกุม จนนำตัวไปฟ้องศาล ปรากฏว่าศาลท่านใช้ดุลพินิจปรับ 3,500 บาท ไม่มีโทษจำแต่อย่างใด ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนามสกุลของผู้มีบารมีที่ไปละม้ายคล้ายกับของคนในแวดวงตุลาการหรือเปล่า เพราะพูดไว้ก่อนขึ้นศาลแล้วว่า ทำอะไรเขาไม่ได้
ในระยะหลังๆ ผู้ร่างกฎหมายจึงไม่ค่อยไว้ใจการใช้ดุลพินิจ กฎหมายระยะหลังจึงมักจะจำกัดดุลพินิจของศาลด้วยการกำหนดโทษขั้นต่ำไว้ ดังเช่นพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในขณะนี้ ที่คดีหนึ่งชาวบ้านเอาวีซีดีเก่าที่เก็บจากกองขยะไปวางขาย และอีกคดีหนึ่งเอาวีซีดีเก่าที่เคยซื้อให้ลูกดู พอเก่าก็เอาไปขาย โดยไม่ได้รับอนุญาต ถูกคุณตำรวจจับส่งฟ้องศาล ศาลท่านปรับเหลือสุทธิ 100,000 บาท
ท่านผู้อ่านลองสวมวิญญาณคุณวิญญูชนเปรียบเทียบคดีผู้มีบารมีถือปืนข่มขู่กับคดีขายวีซีดีดูเอาเองว่า การลงโทษเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่ การลงโทษตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ดังกล่าว เป็นอีกมุมหนึ่งสำหรับการจำกัดการใช้ดุลพินิจของศาลในคดีดังกล่าว ศาลท่านปรานีมากแล้ว โดยลงโทษขั้นต่ำ เพราะกฎหมายไม่ให้ท่านลงโทษได้ต่ำกว่านี้
“ปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท”เท่าที่ดูจากมาตรา 38 ของกฎหมายดังกล่าว บัญญัติว่า
“ห้ามผู้ใดประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทน เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน” กฎหมายค่อนข้างกว้าง เพราะแม้ไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ได้รับค่าตอบแทนก็ผิดแล้ว กฎหมายไม่เอาผิดเฉพาะการให้เปล่าถ้าจะว่ากันตามกฎหมาย การเอาแผ่นภาพยนตร์วีซีดีไปแลกดูกันก็อาจเป็นความผิด เพราะอาจจะเข้าข่ายเป็นการแลกเปลี่ยน กฎหมายให้ขอยืมกันดูได้ แต่แลกเปลี่ยนกันไม่ได้
น่าคิดว่ากฎหมายอย่างนี้จะขัดกับสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
เห็นกฎหมายฉบับนี้ ทำให้นึกถึงการเปิดท้ายขายของช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง หากมีกฎหมายฉบับนี้ คุณตำรวจคงไม่ต้องไปตามจับผู้ร้ายที่ไหน หาแถวๆ ศูนย์การค้าก็งานล้นมือแล้ว
ผมไม่รู้จะชมเชยตำรวจยุคนี้อย่างไรที่ขยันทำงานขยันหาตัวบทกฎหมายมาบังคับใช้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตำรวจไทยมีความสามารถมากถึงปานนี้
ความขยันขันแข็งของตำรวจ คงไม่ใช่มีเพียง 100200 คดี ตามที่เป็นข่าว ผมเชื่อว่าผลงานของท่านมีมากกว่านี้ เพราะที่ไม่เป็นข่าวนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีอีกกี่คดีที่ถูกปรับข้างถนน
เป็นเรื่องแปลกของเมืองไทยครับ ที่ตำรวจผู้น้อยจับ แต่ตำรวจผู้ใหญ่ต้องรีบไปไถ่ตัวออกจากที่คุมขัง
ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้จริงๆ


