น้ำแข็งละลายอาจหยุดกระแสความอุ่น
กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมทำให้ยุโรปอบอุ่น แต่นักภูมิอากาศเกรงว่า น้ำแข็งที่ละลายจากพืดน้ำแข็ง
กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมทำให้ยุโรปอบอุ่น แต่นักภูมิอากาศเกรงว่า น้ำแข็งที่ละลายจากพืดน้ำแข็งจะทำให้น้ำทางใต้ของกรีนแลนด์กลายเป็นน้ำจืด ทำให้ “ปั๊ม” น้ำเกลือที่เคยส่งพลังให้กระแสน้ำอุ่นอ่อนแรงลง และก่อให้เกิดฤดูหนาวจากธารน้ำแข็งขึ้น
ปี 2015 นับเป็นปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1880 ภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียส นับจากปลายศตวรรษที่ 19 แต่ในสถานที่หนึ่งกลับมีสถานการณ์ตรงข้าม ในปี 2015 พื้นที่มหาสมุทรทางใต้ของกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์นั้นเย็นเยือกที่สุด แม้ว่าอุณหภูมิของมหาสมุทรโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
ความเย็นเยือกนี้เกิดจากน้ำเย็นที่เกิดจากพืดน้ำแข็งขนาดมหึมาของกรีนแลนด์ละลาย แล้วอัดฉีดน้ำเข้าไปในมหาสมุทร ทำให้ “ปั๊ม” ที่ช่วยให้กำลังแก่กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมอ่อนแรงลง กัลฟ์สตรีมคือกระแสน้ำที่พัดพาน้ำอุ่นจากอ่าวเม็กซิโกมาสู่ยุโรปเหนือ ทำให้อุณหภูมิที่นั่นสูงกว่าอีกฟากฝั่งแอตแลนติกมาก ในไอร์แลนด์นั้นฤดูหนาวจะอุ่นกว่าในนิวฟันด์แลนด์ของแคนาดาถึงเกือบ 20 องศาเซลเซียส แม้จะตั้งอยู่ในละติจูดเดียวกันก็ตาม ดังนั้นหากกระแสน้ำอุ่นอ่อนแรงลง มันจะทำให้เกิดฤดูหนาวที่หนาวกว่าเดิมในยุโรปเหนือ
เมื่อปีที่แล้ว นักภูมิอากาศใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศที่ซับซ้อนที่สุดในโลกแบบจำลองหนึ่ง คำนวณว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมหยุดลง ผลที่ได้คืออุณหภูมิของยุโรปเหนือจะลดลง โดยเฉพาะในนอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ตอนเหนือ โดยอุณหภูมิจะลดลงกว่าตอนนี้ถึง 10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ อุณหภูมิอาจลงไปต่ำถึงลบ 40 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนภัยแล้งจะส่งผลต่อการเกษตร โดยเฉพาะในยุโรปเหนือ
แต่นักภูมิอากาศ บอกว่า ยังโชคดีที่กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมจะไม่หยุดลงทั้งหมดในศตวรรษนี้ จนเกิดยุคน้ำแข็งขนาดเล็กครั้งใหม่ขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่ากระแสน้ำอุ่นนี้จะหยุดตัวลงอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษหน้า แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นการที่กระแสน้ำอุ่นอ่อนแรงลงจะทำให้ยุโรปเหนือเย็นลง โดยนักภูมิอากาศหลายคนบอกตรงกันว่ามันเริ่มเกิดขึ้นแล้ว
กระแสมหึมามองเห็นได้จากอวกาศ
กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) ได้ชื่อมาจากอ่าวเม็กซิโก เป็นกระแสที่มีกำลังแรงมากจนสังเกตได้จากภาพถ่ายดาวเทียม จากเบื้องบนกระแสน้ำไหลอ้อมฟลอริดาขึ้นเหนือไปตามชายฝั่งตะวันออกของอเมริกา แล้วจากนั้นก็ไหลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขึ้นไปทางเหนืออีก ทำให้ได้อีกชื่อหนึ่ง
ด้วยว่ากระแสน้ำแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Drift) ระหว่างทางไอน้ำจากผิวหน้าจะปล่อยความร้อนออกมาให้แผ่นดินในทวีปยุโรปด้านตะวันตก เมื่อไอน้ำระเหยจะทำให้กระแสน้ำมีความเข้มข้นของเกลือสูง จึงมีความหนาแน่นมากเมื่อไหลมาถึงบริเวณกรีนแลนด์ มันจึงจมลงไปในทะเลลึก แล้วเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเย็นที่อยู่ข้างใต้ จากนั้นจึงไหลวนย้อนกลับไปยังซีกโลกใต้
การที่กระแสน้ำตกจมลงไปนั้นเป็นเพราะน้ำเกลือที่หนัก ส่วนการไหลลงใต้นั้นเป็นการแทนที่ตามธรรมดา ตราบเท่าที่ยังมีน้ำจำนวนมากไหลขึ้นเหนือมากับกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม น้ำปริมาณเท่าๆ กันก็จะไหลย้อนกลับไปทางใต้ จากนั้นน้ำด้านล่างก็จะไปผสมกับกระแสน้ำอื่นๆ และสุดท้ายก็ยกตัวขึ้นมาที่พื้นผิว ได้รับความร้อน แล้วไหลย้อนกลับขึ้นเหนืออีกครั้งไปกับกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม
เย็นกว่าแม้ว่าโลกจะร้อน
การหมุนเวียนของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือนั้นได้รับพลังงานจากการจมตัวของน้ำเกลือที่หนาแน่นและหนักนอกชายฝั่งกรีนแลนด์ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงเกรงว่า น้ำจืดที่ละลายจากพืดน้ำแข็งของกรีนแลนด์จะทำให้น้ำในมหาสมุทรแถบนั้นกลายเป็นน้ำจืด และเบาจนลอยอยู่ที่ผิวหน้าแทนที่จะจมลง ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่แล้วระบบทั้งหมดก็จะอ่อนแรงลง
การจะทำให้กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมหยุดลงอย่างสิ้นเชิงนั้นอาจต้องใช้มากกว่าขัดขวางการจมตัวลงของน้ำ แต่หากสาขาของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ชีวิตในยุโรปเหนือก็จะเผชิญกับความเย็นในท่ามกลางภาวะโลกร้อน การศึกษาใหม่โดย สเตฟาน ราห์มสตอร์ฟ แห่งสถาบันวิจัยผลกระทบทางภูมิอากาศแห่งเมืองพอทสดัม (Potsdam Institute for Climate Impact Research) ในเยอรมนีและทีมงาน บ่งชี้ว่า กระแสน้ำในมหาสมุทรแถบแอตแลนติกเหนืออ่อนแรงที่สุดในรอบ 1,000 ปี
อาจหยุดลงในศตวรรษที่ 22
ข้อสรุปของ ราห์มสตอร์ฟ มีฐานจากการวัดค่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การหมุนเวียนของมหาสมุทรและกระแสน้ำกัลฟ์สตรีมนั้นต่ำกว่าที่ IPCC ประมาณไว้ 10 เท่า คณะกรรมการภูมิอากาศเห็นว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่กระแสน้ำจะหยุดลงอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษนี้ แต่ก็ยังคิดว่าเป็นไปได้ที่กระแสน้ำในแอตแลนติกจะหยุดลงในศตวรรษหน้าหากอุณหภูมิโลกยังคงสูงขึ้นต่อไป และทำให้พืดน้ำแข็งมหึมาในกรีนแลนด์ละลายจนหมด
หนาวเหน็บในยุโรปเหนือ
อุณหภูมิจะลดลงหลายองศาเซลเซียสในยุโรปเหนือ โดยเฉพาะในฤดูหนาวความหนาวเย็นเกิดมากที่สุด
ในนอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์ อุณหภูมิจะลดต่ำลง 10 องศาเซลเซียสในตอนเหนือสุด อากาศเย็นจะทำให้เกิดทะเลน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติก และแพร่มาถึงแอตแลนติกเหนือในฤดูหนาว ซึ่งหลายทศวรรษก่อนนี้น้ำแข็งเริ่มหายไป พายุฤดูหนาวของแอตแลนติกจะโจมตียุโรปมากขึ้น และพัดไปถึงใจกลางทวีป ยุโรปเหนือจะปกคลุมด้วยหิมะมากขึ้นและหิมะจะอยู่นานขึ้น
ยิ่งกว่านี้ ยุโรปเหนือจะมีฝนน้อยลงในฤดูร้อนส่งผลต่อพืชผลในฤดูเพาะปลูกในเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และโดยเฉพาะในเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน
กัลฟ์สตรีมเคยอ่อนแรงลงมาก่อน
ตั้งแต่ปี 2000 นักภูมิอากาศได้โต้เถียงกันรุนแรงเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของกัลฟ์สตรีมว่าเกิดจากมนุษย์ หรือเป็นความผันแปรตามธรรมชาติกันแน่
ถ้าเป็นเรื่องธรรมชาติ กัลฟ์สตรีมจะกลับมาแข็งแกร่งได้ใหม่ในอีกไม่กี่ทศวรรษ แต่หากเป็นผลโดยตรงมาจากน้ำแข็งละลายและโลกร้อน กระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรยิ่งอ่อนแรงลงไปอีก เพราะพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายมากขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว กระแสน้ำในแอตแลนติกจะคงที่และทำหน้าที่ได้ดีมานับตั้งแต่สิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อ 11,700 ปีก่อน โดยเคยมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่น้ำจืดทำให้กัลฟ์สตรีมอ่อนแรงลง 8,200 ปีที่แล้ว น้ำที่ละลายจากพืดน้ำแข็งปริมาณมหาศาลได้สะสมอยู่ในทะเลสาบขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ


