posttoday

วิเคราะห์ 5 ปัจจัย รธน.ผ่านประชามติ

09 สิงหาคม 2559

ประชามติที่ผ่านฉลุยในครั้งนี้สะท้อนนัยสำคัญทางการเมืองหลายประการ โดยเฉพาะกับคะแนน 15.56 ล้านเสียง หรือ 61.4%

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ประชามติที่ผ่านฉลุยในครั้งนี้สะท้อนนัยสำคัญทางการเมืองหลายประการ โดยเฉพาะกับคะแนน 15.56 ล้านเสียง หรือ 61.4% ที่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทิ้งห่าง 9.79 ล้านคน หรือ 38.6% ที่ไม่รับร่างรัฐธรรนูญ ทั้งที่ประเมินกันล่วงหน้าว่าสัดส่วนระหว่าง “รับ” และ “ไม่รับ” จะสูสีมากกว่านี้

ผลที่ออกมาคงยากจะสรุปได้ชัดเจนว่า 61% ที่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เมื่อการลงคะแนนครั้งนี้มีทั้งเหตุผลทางด้านเนื้อหาและบริบทด้านอื่นๆ ประกอบด้วย ซึ่งหากวิเคราะห์แล้วคะแนนรับร่างรัฐธรรมนูญน่าจะมาจาก 5 เหตุผลสำคัญ

เริ่มจากเหตุผลแรก ความพอใจในเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฉบับ “ปราบโกง” ด้วยจุดแข็งเรื่องการกำหนดคุณสมบัติบุคคลที่จะเข้าสู่ถนนการเมือง ตลอดจนวางกรอบควบคุมการใช้อำนาจ การจัดทำงบประมาณ ที่ไม่ให้ สส.เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแปรงบประมาณทั้งทางตรงทางอ้อมที่หากมีการฝ่าฝืนจะถึงขั้นถูกตัดสิทธิทางการเมือง

ยังไม่รวมกับกลไกใหม่ๆ ที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญทั้งเรื่องกำหนดให้มีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ เข้ามาร่วมคิดหาทางออกในกรณีที่มีปัญหาในประเด็นต่างๆ ป้องกันไม่ให้การเมืองเดินหน้าไปสู่ “ทางตัน” จนต้องติดหล่มเดินหน้าไปไหนไม่ได้เหมือนในอดีต

เหตุผลที่สอง เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเพราะต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่กลไกปกติโดยเร็ว

แม้จะไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปเสียทั้งหมด แถมบางคนที่ลงคะแนน “เห็นชอบ” ครั้งนี้ อาจเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมีข้อเสียมากกว่าข้อดีด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากความคลุมเครือที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ระบุให้ชัดว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ขั้นตอนร่างฉบับใหม่จะทำอย่างไร ทำให้ไม่กล้าเสี่ยงไปหวังน้ำบ่อหน้า

ที่สำคัญมีความเป็นห่วงว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะทำให้โรดแมปต้องสะดุด​ หรือทำให้ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจใช้เวลานานเกินไป หรือเป็นเหตุผลที่ทาง คสช.จะหยิบยกมาอ้างเพื่อขออยู่ในอำนาจยาวนานออกไปจากโรดแมปที่กำหนดไว้เดิม หรือถึงขั้นทำให้การเลือกตั้งต้องถอยร่นออกไป ทำให้จำใจต้องรับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 แบบไม่อาจบิดพลิ้ว

เหตุผลที่สาม ไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม เมื่อบรรยากาศการเมืองในช่วงที่ผ่านมาสงบมาได้พักใหญ่ แม้จะมีเหตุบึ้มกลางกรุงหรือเหตุป่วนในช่วงแรกๆ แต่ก็ค่อยๆ สงบลง ด้วยอำนาจพิเศษ แม้ต่อมาจะมีความพยายามสร้างความปั่นป่วนในช่วงเวลาต่างๆ ทว่าทาง คสช.ก็สกัดไว้ให้บานปลาย

นั่นทำให้เกิดความเป็นห่วงว่าหากประชามติไม่ผ่านอาจทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเขย่าเสถียรภาพ คสช. หรือหยิบยกมาเป็นเหตุผลขับไล่ คสช.จนเกิดความวุ่นวายก่อนจะไปถึงการเลือกตั้ง

สอดรับกับท่าทีก่อนหน้านี้ที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. เคยระบุว่า “มีการประกาศว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่านประชามติในวันที่ 7 ส.ค. พวกเขาจะออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์
โดยอ้างว่าไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป”

เหตุผลที่สี่ คือแรงสนับสนุนจากกลุ่มคนที่นิยมชมชอบในการบริหารงานของ ​พล.อ.ประยุทธ์ ยิ่งภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศชัดเจนว่ารับร่างรัฐธรรมนูญ​​และคำถามพ่วง​ เพื่อไม่ให้ทุกอย่างจะกลับไปที่เดิม

ยังไม่รวมกับเนื้อหาสาระในร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดช่องให้ คสช.​เข้ามามีบทบาททางอ้อมหลังการเลือกตั้งในอนาคต เช่น บทเฉพาะกาลเรื่องการให้ สว.มาจากการแต่งตั้ง 250 คน ที่จะมาสานต่อเรื่องการปฏิรูปและสามารถเข้ามาเลือกตัวนายกฯ ได้

เหตุผลสุดท้าย คือการสะท้อนว่าไม่เอานักการเมืองและการเมืองระบบเก่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องความเบื่อหน่ายหรือไม่เชื่อมั่นในกลไกอย่างที่เคยเป็นมา ประชามติครั้งนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า แม้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ 2 พรรค ที่ประกาศจุดยืน “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ และเป็นพรรคที่มีฐานเสียงอยู่ทั่วประเทศ แต่ผลประชามติที่ออกมาก็สะท้อนว่า
คนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นแบบเดียวแบบพรรคการเมือง

ทั้งภาคเหนือและอีสานที่ไม่ได้เห็นแบบเดียวกับพรรคเพื่อไทยและพื้นที่ภาคใต้ที่ไม่เห็นคล้อยตามไปกับจุดยืนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

​ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่แต่ละฝ่ายจะต้องนำไปพิจารณาในอนาคตต่อไป

ข่าวล่าสุด

อนาคตพลังงานสะอาดของประเทศไทย เมื่อ SMR ไม่ใช่เรื่องไกลตัว